บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 4 ปี 2563 โดยมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 5.6 พันล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2563 เป็นผลมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกสอง ส่งผลให้มีการปิดประเทศและออกมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมโรค
สำหรับในปี 2563 MINT มีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 1.88 หมื่นล้านบาท โดยไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นไตรมาสที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคที่หนักที่สุด เนื่องจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้มีการออกมาตรการการปิดประเทศส่งผลให้การเดินทางต้องหยุกชะงัก อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในระยะยาวมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้นเรื่อยๆ จากข่าวเกี่ยวกับประสิทธิภาพและการกระจายวัคซีน รวมถึงการจองห้องพักล่วงหน้าที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
MINT มุ่งดำเนินกลยุทธ์ในการบริหารจัดการฐานะทางการเงิน ควบคุมค่าใช้จ่าย ปรับโครงสร้างรายจ่ายเพื่อการลงทุน และคงความคล่องตัวเพื่อรับมือกับช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า “MINT ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง บริษัทได้ดำเนินการวางแผนธุรกิจเชิงรุกอย่างชาญฉลาดเพื่อรับมือกับการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกที่สองในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ในไตรมาสที่สี่ และเรายังคงปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”
สัญญาณเชิงบวกของไมเนอร์ ฟู้ด
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ บริษัทยังคงเห็นสัญญาณเชิงบวกในกลุ่มธุรกิจของเรา ยกตัวอย่างเช่น ผลการดำเนินงานของไมเนอร์ ฟู้ดปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กลับมาสร้างผลกำไรซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับกันช่วงก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ในไตรมาสที่สามแล้ว กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของไมเนอร์ ฟู้ดในไตรมาส 4 ปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากไตรมาส 4 ปี 2562
ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรสุทธิจำนวน 540 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2563 เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากในไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 258 ล้านบาท โดยการเติบโตอย่างต่อเนื่องดังกล่าวเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนตั้งแต่ในไตรมาสที่สามถึงไตรมาสที่สี่ ด้วยการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมในอัตราร้อยละ 3.4 ในไตรมาส 4 ปี 2563 เมื่อเทียบกับร้อยละ 3.0 ในไตรมาส 3 ปี 2563 โดยมีสาเหตุมาจากการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและการมุ่งเน้นในการยกระดับแนวคิดด้านอาหารอย่างต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร
ในเดือนธันวาคมปี 2563 แม้ว่าประเทศไทยจะเผชิญกับการชุมนุมทางการเมืองและการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่ แต่ธุรกิจบริการจัดส่งอาหารของไมเนอร์ ฟู้ดทั้งบนแพลตฟอร์มการจัดส่ง 1112 Delivery ของบริษัทเอง และแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการจัดส่งอาหารรายอื่น รวมถึงแคมเปญส่งเสริมการขายที่ประสบความสำเร็จของเดอะ พิซซ่า คอมปะนีและการขยายสาขาอย่างรวดเร็วของร้านบอนชอนช่วยผลักดันยอดขายของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย
รักษาสภาพคล่อง พร้อมรับการฟื้นตัว
ตลอดไตรมาส 4 ปี 2563 MINT ยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่าย การลดกระแสเงินสดจ่าย และการรักษาสภาพคล่อง ทั้งนี้ จากการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกที่สอง ส่งผลให้กระแสเงินสดจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.5 พันล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2563 เป็น 1.6 พันล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2563 อย่างไรก็ตาม ด้วยเงินสดจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมกราคม 2564 MINT มีเงินทุนสำรองที่เพียงพอสำหรับการดำเนินงานต่อไปได้อีกนานกว่าสองปี นอกจากนี้ การฟื้นตัวของธุรกิจจะช่วยให้บริษัทมีฐานเงินสดที่เพิ่มขึ้นด้วย
หลังจากผ่านสองเดือนแรกของปี 2564 MINT คาดการณ์ว่าธุรกิจจะยังคงเผชิญกับความท้าทายในช่วงครึ่งปีแรกจนกว่าจะมีการกระจายของวัคซีนในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม MINT อยู่ในฐานะที่พร้อมจะดำเนินธุรกิจเมื่อพรมแดนของแต่ละประเทศกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวและภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ไมเนอร์ โฮเทลส์คาดว่าการดำเนินงานในทวีปยุโรปจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการเดินทางภายในภูมิภาค ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ส่วนไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงมุ่งขยายตลาดการจัดส่งอาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
นายดิลลิป ราชากาเรีย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมมั่นใจว่าบริษัทได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว ในปี 2563 ที่ท้าทาย บริษัทได้ใช้โอกาสในการปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายเพื่อให้บริษัทดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าบริษัทจะยังคงมุ่งพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทจะยังคงดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของฐานะทางการเงินในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ ทั้งนี้ บริษัทพร้อมที่จะกลับมาดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจอย่างเต็มที่ เพื่อให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากแบรนด์และทรัพย์สินที่มีคุณภาพสูงเพื่อสร้างรายได้ และผลักดันผลกำไรและผลตอบแทนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดของเราในระยะยาว”