หลังจากห่างหายกันไปหลายสัปดาห์ คราวนี้ขอมาต่อกันกับ Mobile Trend กันอีก 2 หัวข้อนะคะ โดย Trend แรกจะว่าด้วยเรื่องของประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เปลี่ยนไปในอีก 4 ปีข้างหน้า และอีกหัวข้อที่มาแรงในช่วง 2-3 ปีหลังกับ Mobile Cloud นั่นเองค่ะ
เมื่อกว่า 10 ปีก่อน พวกเราคงจะคุ้นเคยกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แยกชิ้นกันอยู่ อยากจะฟังเพลงก็ต้องใช้ Walkman, CD player หรือใหม่ขึ้นมาหน่อยก็ MP3 Player จะถ่ายรูปก็ต้องพกกล้องต่างหาก , จะหา Organizer ดีๆ สักตัวก็ซื้อ Palm มาใช้, จะเล่นเน็ตให้สะดวกก็พก Notebook เป็นต้น แต่ในปัจจุบันสิ่งต่างๆ เหล่านี้รวมเข้าไว้ด้วยกันในสมาร์ทโฟน เป็นที่เรียบร้อย แถมยังรวมสารพัดความสามารถเอาไว้อีกเพียบ แต่มันจะเป็นเช่นนี้ตลอดในอีก 4 ปีข้างหน้าหรือไม่ มีนักวิจัยที่คาดการณ์ถึงทิศทางที่จะเกิดขึ้นเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ อันเกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่าง
- การแข่งขันในธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถึงจุดที่เรียกว่า สงครามราคากันมานานแล้ว ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงและก้าวเข้าสู่ยุคที่เน้นเรื่องประสบการณ์การใช้งาน (Experience) ให้สอดคล้องกับโลกยุคไอที
- ระบบปฏิบัติการณ์อย่าง Android สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดขยายไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ได้ไม่จำกัด อย่างตอนนี้ที่เห็นข่าวอยู่บ่อยๆ อาทิเช่น รถยนต์, โทรทัศน์ เป็นต้น
- การเติบโตของเศรษฐกิจของ app ที่ไอเดียต่างๆ สามารถนำไปพัฒนาเพื่อเสริมคุณค่าให้กับอุปกรณ์เหล่านั้นได้
ทำให้คาดการณ์กันว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พื้นฐานทั่วไปสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ผู้ใช้สามารถใช้งาน app สุดโปรดบนอุปกรณ์เหล่านั้นในรูปแบบของ Across Screens & Single Experience ในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่อยู่บน Cloud (จะกล่าวถึงเป็น Trend ต่อไป) ได้ ไม่ใช่แค่เพียงจาก Gadget ที่เราถืออยู่ในมือเท่านั้น
Trend ต่อไปเกี่ยวข้องกับ Cloud Computing ค่ะ เช่นเดียวกันบนโลกของ Mobile เค้าว่ากันว่าถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงจากการออกแบบระบบในลักษณะของ Client Server ตอนนี้สิ่งที่เราได้เห็นกันคือ Mobile App ที่ทำงานเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าถึง Cloud Service ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อีเมล, งานเอกสาร, web conferencing และอื่นๆ อีกมากมาย
ซึ่ง Nicholas Thomas ได้ยกตัวอย่างรูปแบบธุรกิจของ app ที่เป็น Cloud Service ประเภท SaaS (Software as a Service) ให้เห็นภาพได้อย่างน่าสนใจ? ยกตัวอย่างเช่น
- ?Freemium Subscription Model เป็นการเปิดให้ลองใช้ฟรี และสามารถอัพเกรดฟีเจอร์เพิ่มโดยการจ่ายเงิน อาทิเช่น app อย่าง Evernote, Dropbox และที่ app ฟังวิทยุออนไลน์ที่นิยมในต่างประเทศ เช่น Pandora
- การให้โหลด app ฟรีเพื่อเป็นเสมือนท่อลำเลียงส่งคอนเทนต์ไปถึงผู้รับ และหารายได้จากช่องทางอื่นๆ อาทิเช่น Kindle ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถโหลด app ฟรีลงอุปกรณ์ต่างๆ และขายตัวคอนเทนต์, Netflix ที่เก็บค่าสมาชิกและเปิดให้โหลด app ฟรีเพื่อใช้ดูหนังและทีวี
- การให้โหลด app ฟรีซึ่งถือเป็นส่วนเสริม “value add” จากบริการหลักอย่างเช่น Salesforce บริการที่มีชื่อเสียงด้าน Cloud Service ให้กับกลุ่มบริษัทโดยเฉพาะ
- และอีกรูปแบบคือบริการที่เดิมให้ใช้ฟรีบนเว็บฯ และถ้าจะใช้ mobile app เวอร์ชั่นจะมีการให้สมัครสมาชิก อาทิเช่น App แนว To-do อย่าง Remember The Milk (RTM) ที่จะมีการเก็บค่าบริการในรูปแบบของ In-app purchase อยากจะสมัครเป็นแบบรายเดือน หรือรายปี ก็เลือกได้
นี่ก็เป็นตัวอย่างของรูปแบบ Cloud Service ที่ใกล้ตัวพวกเราค่ะ และหวังว่าโมเดลเหล่านี้พอจะเป็นไอเดียของผู้ที่สนใจกำลังพัฒนา app ที่เป็น Cloud Service ไม่มากก็น้อย แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ 😀
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 สามารถหาอ่านได้ที่นี่เลยค่ะ?