มูจิ ประเทศไทย (MUJI) เดินหน้ากลยุทธ์การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องให้ถึงเป้า 70 สาขาภายใน 3 ปี โดยสาขาล่าสุด “มูจิ วัน แบงค็อก” (MUJI ONE BANGKOK) เป็นสาขาที่ 38 ถือว่าเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด มีพื้นที่มากที่สุดกว่า 3,040 ตารางเมตร บนทำเลศูนย์กลางธุรกิจหวังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ
สำหรับ MUJI สาขาใหม่นี้ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ของการใช้ชีวิต มากกว่า 5,000 รายการ รวมถึงใช้จัดกิจกรรมทางการตลาดหลากหลายรูปแบบ ตั้งเป้าเป็น Must-Visit Destination ที่ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปักหมุดในเช็คลิสต์เมื่อมาเยือน “วัน แบงค็อก”
นายอกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “การเปิดตัว “มูจิ วัน แบงค็อก” บริษัทต้องการยกระดับรูปแบบร้านค้าให้เป็นไลฟ์สไตล์สโตร์ที่เป็นมากกว่าประสบการณ์การจับจ่ายใช้สอย แต่ยังเป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้ชีวิตประจำวัน ควบคู่กับการเดินหน้ากลยุทธ์ในการขยายสาขาไปยังทั่วทุกภูมิภาค รวมทั้งสิ้นเป็น 38 สาขาสำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน
โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้เปิดสาขาใหม่กว่า 14 แห่ง แบ่งออกเป็น 4 สาขาในปี 2565 และ 3 สาขาในปี 2566 และในปีนี้มีการเปิดตัวสาขาใหม่ไปแล้วถึง 7 สาขา หากแบ่งสัดส่วนการเปิดตัวสาขาใหม่ทั้งหมดตามพื้นที่ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา สามารถแบ่งออกเป็นสาขาในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 7 สาขา และในต่างจังหวัดอีก 7 สาขา ทำให้ปัจจุบันร้านมูจิสโตร์ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย ตามเป้าหมายในการเป็นแบรนด์สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยทุกคน
นางสาวอริญา พันธุมโกมล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มูจิ รีเทล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “มูจิ ประเทศไทย มุ่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการเปิดตัวคอนเซ็ปต์สโตร์ “มูจิ วัน แบงค็อก” ในวงกว้าง โดยใช้ช่องทางและวิธีการสื่อสารหลากหลายรูปแบบทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ รวมถึงมีการใช้สื่อนอกบ้าน (Out of home) ทั้งยังมีการใช้อินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้ชื่อดังอย่าง อาเล็ก–ธีรเดช เมธาวรายุทธ และโบว์–เมลดา สุศรี มาร่วมเปิดตัวสาขาอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาใช้งานของ MUJI ส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงานอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งบริษัทต้องการปรับลดสัดส่วนเข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งหลังจากความพยายามในการทำกลยุทธ์การตลาดมากขึ้นทำให้เราได้กลุ่มเป้าหมายใหม่ ตั้งแต่ 25-35 ปีและ 35-44 ปี เพิ่มขึ้น และคนที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์จากเดิมที่ไม่เคยมีเลย
สำหรับสินค้าขายดี ที่นักช็อปนิยมซื้อมากที่สุด ประกอบด้วย เสื้อยืดรุ่นเบสิค, หมอนนุ่ม, ที่ดัดขนตา, คลีนซิ่งออยล์, รองเท้า, กระเป๋าและเครื่องเขียน ซึ่งจะเห็นได้ว่าสินค้ายอดนิยมมีความหลากหลายและเป็นสินค้าทั่วไปที่จับต้องได้ ตรงกับความพยายามของเราในการทำสินค้าให้อยู่บนพื้นฐานของสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันและกลายเป็นร้านที่เข้าถึงได้ของคนทุกช่วงวัย ส่วนคู่แข่งในตลาดนั้น หากเป็นในธุรกิจเดียวกันอาจมองว่า Nitori จะเป็นคู่แข่งหลักของเรา แต่ส่วนตัวมองว่า Uniqlo เป็นคู่แข่งมากกว่าเพราะลูกค้าที่เดินเข้ามาร้านเรามองเรื่องของแฟชั่นและคนส่วนใหญ่มาซื้อเสื้อผ้าเป็นหลัก
ทั้งนี้ มูจิ วัน แบงค็อก จะมีการจัดกิจกรรมที่เป็นท้องถิ่นมากขึ้น เช่น เอ็กซิบิชั่น โซน Grab&Go โซนร้านค้าสะดวกซื้อที่จะเปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้าให้พนักงานออฟฟิศสามารถซื้ออาหารไปทานในออฟฟิศ เครื่องดื่มสำเร็จรูปให้หาซื้อสะดวกขึ้น โดยแบ่ง Line up สินค้าเป็น กลุ่มเสื้อผ้า 52% เครื่องใช้ในบ้าน 49% อาหาร 2% นอกจากนี้ยังมีการปรับราคาเฉลี่ยของสินค้าลง 20% เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสินค้าจับต้องได้มากขึ้นซึ่งเราทำแบบนี้มา 2-3 ปีแล้ว ทำให้ไทยมียอดขายสูงที่สุดในอาเซียน สะท้อนว่าเราได้รับการยอมรับจากคนไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทีมพัฒนาสินค้า (local product management) ของบริษัทแม่ก็ได้มาประจำอยู่ที่ไทยเพื่อศึกษาวัฒนธรรมของไทยและเรียนรู้เกี่ยวกับสินค้าของไทยเพื่อนำเสนอแก่ตลาดอื่นๆ ในอาเซียน โดยถ้าเดินสำรวจสินค้าในมูจิ วัน แบงค็อกจะเห็นสินค้าที่สะท้อนความเป็นไทยมากขึ้น เช่น คางกุ้งรสชาติต่างๆ ตระกร้าใส่ของ ผลไม้เคลือบช็อกโกแลต น้ำแร่ ไม้ม็อบ ที่ตากผ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราพัฒนาจากความชื่นชอบของคนไทยทั้งสิ้น และหวังจะนำสินค้าเหล่านี้ไปวางขายในมูจิประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้มากขึ้น
สำหรับการลงทุนในไทยอย่างจริงจังครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไทยมีนักท่องเที่ยวมาจำนวนมากทำให้ยอดขายดีมากและเป็นตลาดใหญ่ในอาเซียน จึงมีการลงทุนทีมการตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งตอนนี้สำนักงานใหญ่ในไทยมีพนักงานกว่า 60-70 คน (ไม่นับพนักงานสาขา) และตั้งเป้าจะทำให้ได้ถึง 70 สาขาทั้งประเทศซึ่งภายในปีนี้จะมีทั้งหมด 39 สาขา (วันแบงค็อกเป็นสาขาที่ 38) และเชื่อว่าไม่เกิน 3 ปีจะทำได้ตามเป้าที่วางไว้
ทางด้านของสินค้าที่ลดราคาลงนั้น เป็นการแบกต้นทุนของบริษัทเอง เพราะ 80% สินค้าของมูจิยังคงนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และตั้งเป้าผลิตสินค้าภายในประเทศให้มากขึ้นถึง 30% จากตอนนี้ที่มีอยุ่ 10% ส่วนเหตุผลที่ผลิตเอง เพราะบางสินค้าการให้คนไทยคิดค้นและพัฒนาเองจะ “ตรงจริต” ของคนไทยด้วยกันมากกว่า แต่ก็ยังมีสินค้าอีกหลายอย่างที่ต้องการนำเข้ามาขายเช่นกัน แต่ถ้าไม่เหมาะกับตลาดไทยก็มองว่าลองดูโอกาสที่เหมาะสมก่อน