ผลงานการพัฒนาชิ้นนี้ไม่ใช่นิทานเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด ที่มีแม่มดใจร้ายคอยส่องกระจกถามหาผู้ที่งามที่สุดในปฐพีอีกต่อไป แต่เป็นกระจกในโลกแห่งความเป็นจริงที่ใช้เทคโนโลยี 3 มิติ ในชื่อ Naked 3D Fitness Tracker ช่วยให้กระจกสามารถวัดค่าความฟิตของกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ตามจริง
Farhad Farabakhshian ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Naked Labs เจ้าของผลงาน Naked 3D Fitness Tracker เผยว่า จากการที่เขาเคยเป็นทั้ง (อดีต) ครูสอนออกกำลังกาย และวิศวกรไฟฟ้านั้น ทำให้เขาพบว่า คนที่มีปัญหาในด้านการรับประทานอาหารผิดปกติอย่างเช่นผู้ป่วยโรคอ้วนหรือโรค Anorexia นั้นไม่ค่อยมองสภาพร่างกายของตนเองตามความเป็นจริง บางคนส่องกระจกแล้วก็ยังคิดว่าตนเองนั้นอ้วนไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีไขมันจะให้กำจัดออกแล้ว การมีกระจกที่ช่วยให้ข้อมูลสภาพร่างกายอย่างตรงไปตรงมา จึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดี
โดยอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นกระจกขนาดเต็มตัว (ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และเสียบปลั๊กไฟ) มาพร้อมแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ที่จะแสดงผลการสแกนร่างกายด้วยกระจกให้ทราบ และสามารถเปรียบเทียบกับผลการสแกนในครั้งก่อนว่ามีส่วนไหนของร่างกายเปลี่ยนแปลงไปบ้างด้วย
โดยจุดที่กระจกจะโฟกัสเป็นพิเศษได้แก่ กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ น่อง ต้นขา สะโพก และเอว รวมถึงคำนวณค่าไขมันในร่างกาย (Body Fat) ให้อีกต่างหาก
ความสามารถของกระจกวิเศษบานนี้เป็นผลมาจากเซนเซอร์ RealSense ของอินเทล (เซนเซอร์สำหรับเทคโนโลยี 3 มิติ) ที่ติดตั้งอยู่ภายใน ร่วมกับการประมวลผลโดยโปรเซสเซอร์อินเทล ควอดคอร์ของทางค่าย ซึ่งผลการสแกนที่ได้ออกมาใช้เวลาประมวลผลประมาณ 20 วินาทีนั่นเอง
เจ้าของผลงานอย่าง Naked Labs เผยว่า ระบบดังกล่าวสามารถเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานได้สูงสุด 8 ราย ซึ่งเหมาะกับการใช้งานภายในครัวเรือนเป็นหลัก แต่ในกรณีที่มีแขกมาเยี่ยมบ้านและอยากทดลองใช้งานก็สามารถดาวน์โหลดแอปและใช้กระจกนี้สแกนได้เช่นกัน (เป็นแบบ Single Scan)
กระจกของ Naked Labs บานนี้จึงอาจเป็นอีกหนึ่งการพัฒนาในวงการสุขภาพที่นำเทคโนโลยีมาจับได้อย่างน่าสนใจ เพราะคนไม่ชอบออกกำลังกายและคิดเข้าข้างตัวเองว่าฉันยังสุขภาพดีนั้นมีอยู่ทั่วไป การได้รับคำเตือนอย่างตรงไปตรงมาจึงน่าจะช่วยให้คนเหล่านั้นลุกขึ้นมาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกันได้บ้าง และสำหรับใครที่สนใจอุปกรณ์ดังกล่าว ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 499 เหรียญสหรัฐ และทางบริษัทแจ้งว่าจะเริ่มจัดส่งสินค้าให้ได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปีหน้า
ที่มา: Techcrunch