ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาทั้งโลกเผชิญวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลายธุรกิจได้รับผลกระทบ คนหลายล้านคนตกงาน แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี NASDAQ กลับพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปี โดย LSE ตลาดหุ้นสหราชอาณาจักร -18% SET ตลาดหุ้นประเทศไทย -13% JPX ตลาดหุ้นญี่ปุ่น -7% รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวจากสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น ทำไมตลาดหุ้นถึงไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน? ไปดูเหตุผลกันเลยครับ
1. นักลงทุนมองไปในอนาคต
แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐในปัจจุบันจะชะลอตัวลงอย่างมาก ตัวเลขคนว่างงานพุ่งสูงขึ้น ธุรกิจขาดสภาพคล่อง แต่นักลงทุนยังคงเชื่อมั่นและลงทุนในตลาดหุ้น เพราะว่านักลงทุนมองว่าในปัจจุบันภาคธุรกิจจะสามารถฟื้นตัวได้และเติบโตได้ในอนาคต
2. ดอกเบี้ยต่ำดึงดูดการลงทุน
หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลหลายประเทศต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดสถาพคล่อง เช่น เงินกู้ฉุกเฉิน และธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการริเริ่มธุรกิจและโครงการใหม่ๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานในประเทศ เศรษฐกิจเกิดการขยายตัวมากขึ้น
3.กลัวพลาดโอกาสสำคัญ หรือ FOMO (Fear of missing out)
สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนกลัวคือการพลาดโอกาสในการทำเงิน เพราะในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ในสถานการณ์ปัจจุบันธุรกิจเภสัชกรรม บรัษัทวิจัยวัคซีนได้รับเงินทุนมหาศาลจากทั้งภาครัฐและเอกชน
นอกจากนี้บริษัทนวัตกรรมอย่าง Facebook, Google, Netflix และ Zoom ก็ได้รับอานิสงค์จากวิกฤตครั้งนี้ วิกฤตโรคระบาดกลายเป็นตัวเร่งให้ผู้คนหันเข้าหาเทคโนโลยีมากขึ้น มูลค่าบริษัทก็เพิ่มขึ้นตาม
แล้วตลาดหุ้นจะเติบโตถึงเมื่อไร? การสร้างเงินจากสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ตลาดหุ้นจะเติบโตอีกหรือไม่อาจขึ้นอยู่กับว่าไวรัสโควิด-19 จะระบาดไปอีกนานแค่ไหน นักลงทุนคิดอย่างไรกับโอกาสเติบโตของธุรกิจ และสุดท้ายตลาดหุ้นก็ต้องสะท้อนกับโลกความเป็นจริง
อ้างอิง BBC