เริ่มแรกของการก่อตั้งบริษัทนั้นเริ่มมาจากความคิดที่ว่าชอบชมความบันเทิงตอนทานอาหารเย็นอยู่ เลยมองว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะส่งความบันเทิงไปที่บ้านได้ จึงได้เริ่มต้นธุรกิจด้วยการส่ง DVD ไปตามบ้าน ในขณะนั้นภรรยาและลูกของเขามองว่าเป็นแนวความที่ผิด จึงต้องใช้เวลาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นจริงได้ ด้วยการส่งความบันเทิงไปที่แล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ แต่ในตอนนั้นเทคโนโลยีเองก็ยังไม่เอื้อต่อธุรกิจนัก
จนเวลาผ่านไป 10 ปี เข้าสู่ปี 2008 ก็มีเทคโนโลยีมารองรับนั่นคือ ‘การสตรีมมิ่ง’ หลังจากนั้นก็มีบริการฟรีให้กับลูกค้า เกิดเป็นบริการในสหรัฐ และอีก 2 ปีผ่านไปก็มีบริการในอเมริกาใต้ ซึ่งพัฒนามาเรื่อยๆ ด้วยความเก่งกาจของทีมงาน ทำให้ในปัจจุบันมีบริการกว่า 130 ประเทศ
หากเปรียบเป็นคน Netflix บอกว่าตัวเองคือคนที่มองหาวิธีใหม่ๆ เพื่อสร้างเพลิดเพลินสนุกสนาน และได้แก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ไปพร้อมกัน เรียกได้ว่าความบันเทิงนี้ทำให้คนดูติดหนึบ เพราะคุณอาจเริ่มดู Netflix ตอนสี่ทุ่ม จนรู้ตัวอีกทีก็ตี 4 แล้วก็เป็นได้
ซึ่งเขาบอกว่าคู่แข่งไม่เคยคิดถึงจุดนี้เลยในการสร้างความบันเทิง ต่างจากพวกเขาแก้ที่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ อย่างเรื่องการข้ามเพลงตอนต้นเรื่องที่มองว่าใครกันจะอยากฟังเพลงเริ่มต้นซีรีส์ที่ยาวเป็นนาทีๆ สิ่งเล็กๆ เหล่านี้เองเป็นจุดที่ทำให้คนรัก Netflix และบอกต่อกัน ส่งผลให้ปัจจุบันผู้คนจำนวน 1 ใน 3 ของประเทศสหรัฐฯ เป็นคนที่ดู Netflix มากกว่า 1 ชม.
ก่อนหน้านี้ CEO ของ Netflix เคยถูกถามว่าคู่แข่งของธุรกิจคือใคร ซึ่งเขาบอกว่าคู่แข่งสำคัญที่สุดคือ ‘ความง่วง’ นั่นเอง และ Netflix เองยังคงกำหนดมาตรฐานใหม่ๆ ขึ้นมาให้องค์กรเสมอ และมีการใช้จ่ายเงินไปมากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับเนื้อหาใหม่ๆ
โดยปัจจัยความสำเร็จของ Netflix คือการทำทุกอย่างเพื่อจ้างคนที่เก่งมาทำงาน รวมทั้งการกระตุ้น ชื่นชม สร้างแรงจูงใจ และการมีความเป็นผู้นำ เขากล่าวว่าการพูดเลือกบุคลากรนั้นต้องมั่นใจได้หาคนที่ตระหนักถึงผลกระทบกับคนอื่น เป็นคนที่ชอบธุรกิจนี้ คนที่ทำตัวเป็นผู้นำ คนที่มองตลอดว่าจะเพิ่มขีดความสามารถ และความรู้ของเขาเองได้อย่างไร รวมถึงไม่มีใครอยากทำงานกับคนนิสัยไม่ดี เพราะจะทำให้การทำงานนั้นเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ
เราจึงต้องจ้างคนที่เรามุ่งหวังว่าหากมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ เขาก็จะเข้าไปแก้ไข ส่วนยุทธศาสตร์ขององค์ก็ต้องมีความชัดเจน และรู้ว่าไปในทิศทางไหน แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปบอกว่าต้องก้าวเดินแบบ 1 2 3 4 ได้อย่างไร เพราะคนเก่งๆ จะมีความฉลาดในการสำรวจหาทิศทางอย่างที่คนอื่นไม่กล้าทำ
นี่คือสิ่งที่ Netflix ทำเพื่อเเซงหน้าบริษัทอื่นๆ ซึ่งเอกสารด้านบนคือเอกสารจริงจาก Netflix โดยจะไม่ให้รางวัลการทำงานหนัก แต่ให้รางวัลกับความสำเร็จ จุดเด่นที่สุดของบริษัทนี้คือพนักงานจะพักร้อนกี่วันก็ได้ตราบเท่าที่ทำงานเสร็จ และใครก็ตามที่ทำงานหนักแต่ไม่เสร็จ พวกเขาจะต้องออกไปจากบริษัท แต่สำหรับคนที่ทำงานได้เยอะก็จะได้สิทธิ์ในการพักผ่อนเยอะเช่นเดียวกัน
ความเป็นผู้นำก็เป็นสิ่งสำคัญหากต้องการให้ทีมมีเอกลักษณ์และกล้าหาญ เราก็ต้องสอนเขาให้พร้อมจะแสวงหาอะไรสักอย่าง เพราะถ้าเทียบตัวอย่างจะพบว่าบริษัทอย่าง Blockbuster ครั้งหนึ่งก็เคยมองบริษัท Startup ว่าไม่มีทางเเข่งแข่งกับตัวเองได้ ถ้าคุณเคยมองคู่แข่งแบบนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนทัศนคติทันที เพราะสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปไวมาก เราต้องมองตลอดว่าผู้บริหาร พนักงาน ของเรากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้
เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยไปเช่ารถแล้วต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง เพื่อกรอกคำถามใดๆ ก็ตาม ซึ่งถ้าธุรกิจไหนที่ลูกค้าต้องใช้เวลาเกินกว่าจำเป็น ก็ถึงเวลาที่จะต้องแก้ไข และพัฒนาจุดนี้ให้ดีขึ้น ในอดีตถ้า CEO ของ Blockbuster มีการนึกถึงลูกค้าเป็นลำดับแรก ก็คงไม่บอกว่า Netflix ไม่ได้อยู่ในเรดาห์ธุรกิจของเลย
นี่คือบริษัทที่เคยพูดลักษณะนี้ และปรับเปลี่ยนตัวเองไม่ไดเนื่องจากผู้บริหาร พนักงาน ไม่ได้คิดในเชิงของการสร้างนวัตกรรมการแก้ปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ แน่นอนว่าเราไม่อยากเป็นแบบจึงได้สร้างวัฒนธรรมที่จะไม่ยอมให้บริษัทตกไปในรูปแบบนี้ ซึ่งMicrosoft เคยบอกว่า “Google ไม่ใช่บริษัทจริงๆ ด้วยซ้ำ” ซึ่งถ้าเกิดเราเคยพูดแบบนี้กับคู่แข่งเราต้องคิดหนักๆ เช่นกัน
แต่ตัวอย่างที่ดีคือบริษัท Unicorn Startup ที่ก่อตั้งมาเพื่อแก้ไขปัญหาเล็กๆ วันหนึ่งมีคนหาเเท็กซี่ไม่ได้ แล้วคิดว่าถ้าดึงโทรศัพท์ออกมาแล้วกดปุ่มให้มีรถมารับได้ก็คงดี จนในที่สุดก็ได้ดลายมาเป็น Uber ซึ่งธุรกิจตอนนั้นเติบโตจนกระทั่งบริษัทที่รับจ่ายค่าปรับของกรมตำรวจเคยบอกว่า ตั้งแต่ที่มี Uber จำนวนค่าปรับสำหรับคนดื่มเหล้าแล้วขับนั้นน้อยลงมาก ส่งผลให้รายได้ของเมืองลดลงไปเยอะเลยทีเดียวจนแทบจะให้เมืองลำบาก
อีกสิ่งที่เปลี่ยนคือเมื่อก่อนที่ไปสนามบินลอสแอนเจลิส คุณจะต้องใช้เวลาหาที่จอดรถไม่เกินกว่า 5 นาที ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งชม นี่คือการเปลี่ยนโฉมหน้าการแก้ปัญหาที่แท้จริง
ลองนึกดูในบริษัทของคุณเองก็ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำแล้วช่วยแก้ปัญหามากกว่าที่มีอยู่ อย่างเช่น การทำบัญชี การกรอกเอกสารค่าใช้จ่าย ในทุกๆ อย่างควรมีนวัตกรรม และทุกคนเองก็สามาารถทำได้
เพราะ Netflix ก็สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจบันเทิงในขณะที่คู่แข่งอย่าง Blockbuster กำลังรุ่งเรืองได้ เพียงต้องหาวิธีเฉพาะ และทั้งหมดนี้คือวิธีที่ Netflix ใช้พัฒนาธุรกิจของพวกเขา
ในตอนท้ายมีการทิ้งท้ายว่า “อย่ากลัวที่จะตัดสินใจผิด” และอีกอย่างคือต้องมีทีมงานที่ไม่กลัวที่จะทำอะไรใหม่ๆ พร้อมๆ ไปกับผู้นำที่เอื้อให้ทีมทำอะไรที่ผิดพลาดบ้างก็ได้ และขอให้ทุกคนมีความกล้าที่จะออกไปสร้างธุรกิจที่ดี