เลือกเขียนข่าวมาให้เหมาะกับบ้านเรา ที่มีข่าวสั่งปิดบริการของเว็บไซต์ที่ให้บริการ BitTorrent ไปหลายต่อหลายราย โดยข้อมูลจากทางแถบทวีปอเมริกาเหนือ (เช่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา เป็นต้น) ในปีล่าสุด ชี้ให้เห็นว่า มีการใช้งานแบนด์วิธของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ผ่านบริการสื่อบันเทิงออนไลน์ มากกว่าบริการดาวน์โหลดไฟล์แบบ Peer-to-Peer หรือบ้านเรามักเรียกกันว่า BitTorrent นั่นเอง…
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างของบริการสื่อบันเทิงออนไลน์ชื่อดัง คงอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึง Netflix ซึ่งเป็นบริการให้เช่าหนังออนไลน์ โดยผู้ใช้บริการจ่ายเงินแค่เดือนละ 10 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 300 บาท) ก็สามารถเช่าหนังแบบออนไลน์มาดูได้แบบไม่อั้นเลย (น่าเสียดายที่บริการนี้ใช้งานในบ้านเราไม่ได้ ไม่งั้นก็คงดีกว่านี้แน่)
หากดูจากรูปภาพข้อมูลที่แสดงเป็นกราฟนั้น แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของการใช้แบนด์วิธแบบคิดเป็นสัดส่วน แยกโดยรูปแบบของบริการ ปรากฏว่าบริการในลักษณะของ Netflix นั้นได้รับความนิยมสูงขึ้นทุกปี จนปีล่าสุดนี้แทบจะเรียกได้ว่า การใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมดในแถบอเมริกานั้น ถูกใช้ไปกับการดูหนังออนไลน์่ค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ เฉพาะบริการอย่าง Netflix ก็ยังถือว่าได้รับความนิยมมากกว่าบริการอย่าง BitTorrent อยู่ดี เพราะจากค่าเฉลี่ยของการใช้แบนด์วิธในการใช้งาน เฉพาะบัญชีลูกค้าของ Netflix นั้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 22.2 มากกว่าบริการอย่าง BitTorrent ที่มีค่าเฉลี่ยนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 21.6 (ปัจจุบันตัวเลขล่าสุดพุ่งไปแตะที่ร้อยละ 30 แถมในช่วงเวลา Peak-hour บริการอย่าง Netflix มีผู้ใช้งานสูงไปถึงร้อยละ 44 เลยทีเดียว)
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมในการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ลดลง รวมถึงการจ่ายเงินเพื่อซื้อคอนเทนต์ที่มากขึ้น (แม้จะพูดไม่ได้ทั้งหมดว่าสิ่งที่ผ่านช่องทาง Peer-to-Peer จะเป็นไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ข้อมูลจากหลายบริษัทที่ทำการวิจัย แสดงให้เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นไฟล์ในลักษณะละเมิดลิขสิทธิ์)
ในขณะที่วัฒนธรรมที่บอกไปนั้นเป็นของทางทวีปอเมริกาเหนือ แต่แถบละตินอเมริกาและยุโรปกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะการเติบโตของบริการอย่าง BitTorrent นั้นโตมากขึ้น สวนทางกันกับบริการสื่อบันเทิงออนไลน์
โดยเฉพาะทางยุโรป ซึ่งคนไทยอาจมองว่าแปลก เพราะเรามักมีความเชื่อว่าคนแถบยุโรป น่าจะมีการเคารพสิทธิในเรื่องของลิขสิทธิ์พอสมควร ตัวเลขของทางยุโรปนั้น บริการอย่าง Peer-to-Peer นั้นมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างมาก จากร้อยละ 11 เพิ่มเป็นร้อยละ 30.1 เลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ยังหาข้อมูลในแถบเอเชียและประเทศไทยไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่า ณ ปัจจุบันคนไทยน่าจะเริ่มหันมาบริโภคสินค้าลิขสิทธิ์กันมากขึ้น หลายต่อหลายครั้งผมดีใจที่ได้เห็นคนไทย เดินเข้าไปซื้อแผ่น Blu-ray ภาพยนตร์ต่างๆ ในร้านขายสินค้าที่ถูกลิขสิทธิ์ และหวังว่าหากในบ้านเรามีบริการแบบ Netflix คนไทยจะลดการบริโภคสินค้าที่ไม่ถูกลิขสิทธิ์กัน เพื่อให้เมืองไทยของเรา มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาของชาวต่างชาติ…
หากใครสนใจข้อมูลภาพรวม ก็สามารถไปดูได้จากไฟล์ PDF ที่นี่ได้เลยนะครับ >> spring 2011 internet traffic report