การแข่งขันในตลาด Sneaker ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ดุเดือดมาโดยตลอด จากการที่เจ้าตลาดอย่าง Nike และ Adidas ทำตลาดเกือบทุกช่องทาง เพื่อตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ทำให้ New Balance ที่เป็นแบรนด์ รองเท้ากีฬาและรองเท้าแฟชั่นสัญชาติอเมริกาที่ยาวนาน มาตั้งแต่ปี 1906 ด้วยการปลุกปั้นของ วิลเลียม เจ. ไรลีย์
วรฉัตร ธรรมขจัดภัยกุล Brand Manager New Balance Thailand เล่าให้ฟังว่า รองเท้า NEW BALANCE รุ่น 574 Classic “Legacy of Grey” จะอยู่ในซีรีส์ 5XX ในหมวดหมู่ของรองเท้าวิ่ง เริ่มต้นด้วยรุ่น 565 ที่มอบความมั่นคงในการวิ่งให้แก่ผู้สวมใส่ด้วยเทคโนโลยี proto-ENCAP
ต่อมาในปี 1986 ได้มีการเปิดตัวรุ่น 575 Made in USA ที่เน้นเจาะกลุ่มไลฟ์สไตล์สำหรับลูกค้าวัยรุ่นเป็นหลัก ตามมาด้วยรุ่น 576 ในอีก 2 ปีต่อมา ซึ่งรองเท้ารุ่น 574 เป็นการนำจุดเด่นของรุ่น 575 และ 576 มารวมไว้ด้วยกัน ทำให้ดูเรียบหรู และเน้นความสะดวกสบายในการสวมใส่ด้วยเทคโนโลยี ENCAP
อีกทั้งปี 2018 เป็นปีที่ครบรอบ 30 ปี ของรุ่น 574 ทาง New Balance จึงมีการนำรุ่นนี้กลับมาเล่าเรื่องใหม่ โดยปรับรูปลักษณ์ให้ดูทันสมัยขึ้น เน้นการตัดเย็บที่ปราณีตกว่าเดิม ด้วยวัสดุที่ดีที่สุด และใกล้เคียงกับตัวต้นฉบับมากที่สุดครับ สำหรับ รุ่น 574 เราจะเปิดตัวพร้อมกัน 20 ประเทศทั่วโลก คือวันที่ 15 มีนาคม
โดยในไทยคาดว่าปี 2561 บริษัทจะมีรายได้ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นการทำแบรนดิ้งเป็นหลัก ไม่ได้เน้น Hard Sale มากนัก ส่วนตัวเลขรายได้ปีที่ผ่านมาจะ Drop ลงราว 5% จากสถานการณ์ต่างๆ เพราะปกติจะโตเฉลี่ย 10-15% ทำให้รายได้ปี 2559 ปิดที่ 380 ล้านบาท และรุ่นใหม่ที่นำมาจัดแคมเปญนี้คาดว่าจะทำรายได้ อยู่ที่ 80 ล้านบาท
ทางด้านของตลาด Sneaker เบอร์ 1 และ 2 ก็ยังคงเป็นสัดส่วนหลัก ส่วน New Balance ไตรมาส 3-4 จะออกมาอีก 2 รุ่น เป็นรุ่น Minor Change ในรุ่น Lifestyle ส่วนไตรมาส 4 จะออกรุ่นใหม่เลย ซึ่งกลุ่ม Lifestyle ขาย 70% ที่เหลือเป็น Performance
ด้วยความที่ตลาด Sneaker แข่งขันกันสูงอยู่แล้ว ทำให้เราเน้น iconic เป็นกลุ่มที่ niche มาก และเราเล่น fashionista กับ sneaker head ช่วงอายุ 15-วัยกลางคนเป็นหลัก ซึ่งเราใช้ข้อมูลจาก the one card ของเซ็นทรัล มาใช้ในการทำตลาดร่วมกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังเปิด concept store ที่ Central World ใหม่ด้วยหลังจากเปิดที่ Central ลาดพร้าว ดังนั้นเป็นการเปิดสาขาใหม่มากกว่า ภายใต้คอนเซ็ปต์ Metropolitan ด้วย ในไทยจะเน้นกลยุทธ์แบบ lifestyle เป็นหลัก การลงทุนในแต่ละสาขาจะใช้ประมาณ 2 ล้านบาท พื้นที่ 100 ตารางเมตร ทำให้ปีนี้จะมีทั้งหมด 21 ช้อป ส่วนกลยุทธ์ออนไลน์ยังใช้ช่องทางของพาร์ทเนอร์เป็นหลัก ทั้ง Centralonline Looksi Lazada เป็นต้น