Site icon Thumbsup

ฟัง NEXUS วิเคราะห์ตลาดอสังหาหลังการเลือกตั้ง ฟันธงความเชื่อมั่นกลับมาผู้บริโภคเน้นลงทุนเพื่อการอยู่อาศัย

NEXUS (เน็กซัส) เผยผลวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสหนึ่ง เติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นทั้งตลาดที่อยู่อาศัยและตลาดพื้นที่พาณิชยกรรม การเลือกตั้งที่ผ่านมาน่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดในระยะยาวในแง่ของการลงทุนและตลาดของผู้บริโภคที่ต้องการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยจริง

นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Mrs. Nalinrat Chareonsuphong, Managing Director of Nexus Property Marketing Company Limited) 

ผลสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพช่วงไตรมาสที่  1  ของปี 2562 พบว่า มีอุปทานคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ในตลาดทั้งสิ้น 11,300 หน่วย จาก 30 โครงการ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 20% โดยทำเลที่มีการเปิดตัวของคอนโดมิเนียมมากที่สุดยังคงเป็นพระโขนง สวนหลวง แบริ่ง (2,400 หน่วย, 21%) รองลงมาเป็น พญาไท รัชดาภิเษก (1,938 หน่วย, 17%) และอันดับสามคือ ลาดพร้าว วังทองหลาง (1,580 หน่วย, 14%) 

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดหลายประการ  เช่น คอนโดมิเนียมที่เกิดใหม่ไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมิเนียมกลุ่มซิตี้คอนโด ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 75,000 บาท และ ตลาดกลาง (mid market) ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่เกิน 100,000 บาท รวมกันมากถึง 75% ของจำนวนหน่วยที่เปิดใหม่ทั้งหมด (ประมาณ 8,500 หน่วย) จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการเริ่มปรับตัวในการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบรับกับตลาดที่มีความต้องการแท้จริงมากขึ้น

นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการเอง ความเชื่อมั่นในตลาดสำหรับผู้ประกอบการใหม่ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยบางรายเป็นผู้ประกอบการรายเล็กที่เข้ามาเริ่มทำโครงการเป็นครั้งแรก เห็นได้จากสัดส่วนของผู้ประกอบการใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีถึง 47% ซึ่งโดยปรกติแล้วจะอยู่ในสัดส่วนประมาณ 30% เท่านั้น

และจากภาพรวมอุปทานที่เปิดใหม่ในตลาดในช่วงไตรมาสที่ 1 มีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของสินค้าที่เน้นตลาดกลางมากขึ้น ราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยในกรุงเทพในตลาดอยู่ในอัตราที่ปรับตัวลงเล็กน้อยประมาณ 1% อยู่ที่ 139,400 บาทต่อตารางเมตร เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้วอยู่ที่ 140,600 บาทต่อตารางเมตร

ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมในทุกๆ ทำเลได้มีการปรับตัวลงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงนี้ไม่ได้ส่งผลต่อภาพรวมราคาของตลาดอย่างมีนัยสำคัญอย่างไร เนื่องจากคอนโดมิเนียมใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่ในทำเลที่ไกลออกไปเท่านั้น

ตลาดกลางมาแรง

ทั้งนี้ ทาง NEXUS ได้คาดการณ์สถานการณ์อุปทานใหม่ในช่วงปีนี้ เทรนด์ยังคงเป็นตลาดกลุ่มซิตี้คอนโด และตลาดกลาง หรือ mid market มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังคงเห็นคอนโดมิเนียมในตลาดไฮเอนด์และลักซูรี่ที่น่าสนใจ เกิดขึ้นอีกหลายโครงการจากผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้ซื้อที่ดินไปแล้วตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว ทั้งนี้ สินค้าในกลุ่มนี้คงน่าสนใจในแง่การพัฒนาความหรูหราแนวใหม่ที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ลักซูรี่ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

โดยจะมุ่งเน้นประสบการณ์และเทคโนโลยีมากขึ้น และจากปัจจัยทางด้านความต้องการคอนโดมิเนียมในปีนี้ ที่คาดการณ์ว่าดีมานด์ส่วนใหญ่จะมาจากผู้อยู่อาศัยจริง เนื่องจากมาตรการ LTV และการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น และตลาดผู้อยู่อาศัยจริงสำหรับคนกรุงเทพก็ยังคงเป็นตลาด mid market และตลาดซิตี้คอนโดนั่นเอง

ในขณะที่ตลาดไฮเอนด์ปีนี้ จะเป็นตลาดที่ต้องระมัดระวังเนื่องจากกลุ่มนักลงทุนชาวไทยน่าจะลดลงไป ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมในตลาดปรับตัวสูงขึ้นไม่น่าจะเกิน 5-6% คอนโดมิเนียมให้เช่าระยะยาวก็จะเริ่มพัฒนามากขึ้นในทำเลที่เป็นที่ดินของรัฐบาลที่ปล่อยให้เช่าระยะยาวและที่ดินเอกชนแปลงสวยๆ

หากจะกล่าวถึงการปรับตัวของตลาดหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่า การปรับตัวของราคายังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดมากกว่าในแต่ละช่วงเวลาจะเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะกระตุ้นธุรกิจหรือลดความร้อนแรงของธุรกิจมากกว่า

อย่างไรก็ตาม หลังจากการเลือกตั้ง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันต่างชาติน่าจะมีมากขึ้น น่าจะเห็นการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น ผลจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะทำให้มีการกำหนดราคาประเมินคอนโดมิเนียมใหม่ในปีหน้า น่าจะทำให้ตลาดมีความคึกคักมากขึ้นในแง่ของคอนโดมิเนียมมือสอง

หากรัฐบาลมีการทบทวนภาษีการโอนและภาษีธุรกิจเฉพาะเพื่อเอื้อให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มือสองมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้มีการหมุนเวียนของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในตลาด ก็จะช่วยให้ตลาดการลงทุนในคอนโดมิเนียมเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น 

ตลาดพื้นที่พาณิชยกรรม

นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด (Mr. Teerawit  Limthongsakul, Managing Director of Nexus Real Estate Advisory)

ตลาดพื้นที่พาณิชยกรรม หรือในที่นี้คือตลาดพื้นที่สำนักงาน และตลาดพื้นที่ศูนย์การค้า น่าจะได้รับผลกระทบจากการเลือกตั้งน้อย โดยการเลือกตั้งเป็นปัจจัยเชิงบวกให้ตลาดอสังหาฯ เดินหน้าอย่างมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น

ตลาดพื้นที่สำนักงาน

ตลาดพื้นที่สำนักงานได้รับปัจจัยลบน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในตลาดพื้นที่พาณิชยกรรม เนื่องด้วยตลาดพื้นที่สำนักงานมีความแข็งแรงอยู่แล้ว ด้วยอัตราการเช่า (Occupancy rate) ที่มากกว่า 90% และค่าเช่ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยที่ 4-5% ต่อปีในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา 

จากการสำรวจพบว่าในไตรมาสแรกที่ผ่านมา พื้นที่สำนักงานเกรดเอ และเกรดบี ในกรุงเทพฯ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 4.20 ล้านตารางเมตร ซึ่งปัจจุบัน พื้นที่สำนักงานเกรด เอ มีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 980 บาท/ตารางเมตร/เดือน และเกรดบี เฉลี่ยที่ 700 บาท/ตารางเมตร/เดือน โดยราคาค่าเช่าเฉลี่ยทั้งตลาดมีการปรับขึ้นอยู่ที่ 810 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว เวลาเดียวกัน (YoY)

เมื่อพิจารณารายพื้นที่ จะพบว่าในไตรมาสนี้ บางพื้นที่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เช่น บริเวณถนนพระรามที่ 1 – เพลินจิต มีอัตราการเช่าสูงถึงประมาณ 99% โดยอัตราค่าเช่าเฉลี่ยในบริเวณดังกล่าวสูงกว่า 1,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน ซึ่งพื้นที่สำนักงานในย่านศูนย์กลางธุรกิจ มีอัตราการเช่าที่ดีมาโดยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งค่าเช่าเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส

ทั้งนี้ การเลือกตั้งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดเดินหน้าอย่างมีเสถียรภาพต่อไป โดยเมื่อมองย้อนหลังไปในหลายเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2550 ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการเลือกตั้งมากนักและตลาดมีเสถียรภาพในตัวมันเองอยู่แล้ว ซึ่งเห็นได้จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของทั้งอัตราการเช่าและอัตราค่าเช่าจากกระยะก่อนและหลังการมีรัฐบาลใหม่ในแต่ละครั้งที่ผ่านมา เน็กซัสฯ คาดว่าตลาดพื้นที่สำนักงานยังคงมีทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่องและจะยังมีแนวโน้มการเติบโตของตลาดที่ดีต่อไป

ตลาดพื้นที่ศูนย์การค้า

ในส่วนของตลาดพื้นที่ศูนย์การค้าก็ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากการเลือกตั้งเช่นกัน เนื่องจากปัจจัยหลักของตลาดพื้นที่ศูนย์การค้ามาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายในประเทศ และรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาจับจ่ายในประเทศไทย โดยเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นแล้ว เชื่อว่าจะเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งภายในและภายนอกกลับมาอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบัน ตลาดพื้นที่ศูนย์การค้าในไทยก็มีศักยภาพที่ดีอยู่แล้ว แม้จะเผชิญกับสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงและตลาดอีคอมเมิร์ซที่เข้ามามีบทบาทในระบบค้าปลีกมากขึ้นก็ตาม

โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ตลาดพื้นที่ศูนย์การค้าในกรุงเทพกลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้ง สืบเนื่องจากการเปิดตัวของโครงการห้างยักษ์ใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งผลให้การแข่งขันของตลาดพื้นที่ศูนย์การค้าที่ดุเดือดยิ่งทวีความเข้มขันมากขึ้น อีกทั้งจากสถิตินักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นทุกปีที่เดินทางมายังกรุงเทพฯ ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมากรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่ามาเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

เพราะนอกจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้ว ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ก็เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญในการเข้าใช้บริการ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าในบริเวณย่านศูนย์กลางทางการค้า คือพระรามที่ 1 ไป จนถึงแยกราชประสงค์ และบริเวณพร้อมพงศ์ ที่มีจำนวนคนทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าใช้บริการมากกว่า 100,000 คนต่อวันในช่วงวันหยุด ส่งผลให้พื้นที่เช่าในบริเวณนี้มีอัตราการเช่าเฉลี่ยสูงถึงกว่า 95% และยังคงมีร้านค้าจำนวนมากที่อยู่ในรายชื่อที่รอพื้นที่ว่าง

จากการสำรวจของเน็กซัสฯ พบว่าพื้นที่ศูนย์การค้าที่เกิดขึ้นใหม่ของไตรมาสนี้ มาจาก 101 เดอะเธิร์ดเพลส เดอะมาร์เก็ต แบงคอก บาย แพลตินั่ม และ ดอง ดอง ดองกิ รวมพื้นที่เช่าทั้งสิ้นประมาณ 70,000 ตารางเมตร โดยในปีนี้คาดว่าจะมีพื้นที่ศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นอีกกว่า 140,000 ตารางเมตร และยังมีพื้นที่ศูนย์การค้าที่อยู่ในช่วงก่อสร้างและอยู่ในระหว่างแผนการดำเนินงานอีกจำนวนมาก

ทั้งนี้ เน็กซัสฯ มองว่า นอกจากผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับศักยภาพทำเลที่ตั้งโครงการ และความสะดวกในการเข้าถึงแล้ว ปัจจัยด้านการเมืองก็ส่งผลต่อการพัฒนาและการดำเนินการของพื้นที่ศูนย์การค้าเช่นกัน จากความไม่สงบทางการเมืองที่ผ่านมา ส่งผลกระทบให้นักท่องเที่ยวบางส่วนกังวลที่จะมาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ความไม่สงบในย่านราชประสงค์ ซึ่งเป็นพื้นที่หัวใจสำคัญของพื้นที่ศูนย์กลางทางการค้าในกรุงเทพฯ ส่งผลให้ผู้ประกอบการณ์ไม่สามารถดำเนินกิจการได้เต็มที่หรือต้องปิดศูนย์การค้าชั่วคราว ทำให้ตลาดพื้นที่ค้าปลีกชะงักตัวและทำให้อัตราการเช่าหดตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากผู้เช่าไม่สามารถดำเนินกิจการได้

แต่หลังจากเหตุการณ์สงบลง ตลาดพื้นที่ศูนย์การค้าของกรุงเทพฯ ก็ฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่าตลาดพื้นที่ศูนย์การค้ายังคงมีเสถียรภาพและยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในแง่ของอัตราราคาค่าเช่า ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา อัตราค่าเช่ายังคงเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลงเล็กน้อย เนื่องจากค่าเช่าต่อตางรางเมตรในปัจจุบันมีราคาสูง โดยราคาค่าเช่าเฉลี่ยชั้น G ในย่านศูนย์กลางทางการค้าในไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 3,910 บาท/ตารางเมตร/เดือน โดยคาดว่าราคาค่าเช่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง