หลังมีการประกาศปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ หลังปรับทีมบริหารโดยมี นายธงชัย บุศราพันธ์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม เป็นผู้นำทีมบริหารร่วมกับ นายแฟรงค์ เหลียง (Frank Leung) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม มีผลตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2562 นักเล่นหุ้นหลายคนคงกังวลใจถึงแผนงานและการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และนี่คือกลยุทธ์ที่ noble โฉมใหม่มั่นใจว่า “สดใสในอีก 3 ปีข้างหน้า”
การแถลงข่าวของสองผู้บริหารใหญ่ในครั้งนี้ แน่นอนว่าเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลับมาอีกครั้ง เพราะ noble เองถือว่าเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่มีโครงการและความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์มากมาย สิ่งแรกที่สังเกตเห็นได้ชัดในการเปลี่ยนแปลงคือ โลโก้ใหม่ หลังจากโลโก้เดิมใช้มากว่า 7 ปีแล้ว
ภาพรวมปี 2018-2019
ในปีที่ผ่านมา โนเบิลยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ดีอยู่ และยังคงรักษากำไรต่อหุ้นได้ที่ 2.16 บาท ถือว่าสูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันที่ 19.2% ทำให้ในปี 2019 บริษัทวางกลยุทธ์ในการใช้สอยพื้นที่อย่างคุ้มค่า ทั้งการปล่อยขายพื้นที่สำหรับภาคธุรกิจนำไปใช้งานด้านต่างๆ รวมทั้งมีความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อีกหลายราย และจะมีโครงการใหม่อีก 7 รายการ
สำหรับในปี 2019 นี้ ตั้งเป้ายอดขายรวมในอีก 3 ปีที่มากกว่า 30,000 ล้านบาท รักษาอัตราผลตอบแทนหุ้นที่เพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 30% รักษาอัตราส่วนของหนี้ต่อทุนสุทธิที่ 1.5 เท่า
เป้าหมายทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นได้จากการขยายโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการเชิงพาณิชย์ที่กำลังดำเนินการ 7 โครงการ การปรับเพิ่มสัดส่วนของโครงการในเซกเมนต์ที่มีการเติบโตและความต้องการสูง เช่น ที่อยู่อาศัย-คอนโดมีเนียมที่มีราคาขายต่อตารางเมตรอยู่ที่ 1-1.5 แสนบาทต่อตารางเมตร การจัดการประสิทธิภาพของพอร์ทการลงทุนในที่ดินของบริษัทให้มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนในอัตราที่สูงขึ้น ให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากขึ้นเพื่อสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
ตลาดต่างประเทศมาแรง
ความน่าสนใจอีกอย่างในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ โนเบิลมองเห็นและจำให้ความสำคัญมากขึ้น คือ กลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ทั้งแบบเข้ามาซื้ออสังหาในประเทศและการออกไปขยายตลาดต่างประเทศในชื่อของโนเบิล
“ตอนนี้เรามีสินทรัพย์พร้อมขายกว่า 6,000 ล้านบาท พื้นที่เชิงพาณิชย์ 2,500 ล้านบาททำให้เรามีรายได้ที่ค่อนข้างชัดเจนและเป้าที่วางไว้ก็ไม่น่าจะยาก”
จากสไลด์จะเห็นว่า ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ต้องการที่จะเข้ามาลงทุนและซื้ออสังหาริมทรัพย์ในระยะยาวมากขึ้น หลายโครงการของบริษัทที่ลูกค้าชาวต่างชาติสนใจจะเป็นแนวรถไฟฟ้า ทำให้บริษัทต้องวางแผนในเรื่องของการสร้างคอนโดมิเนียมในพื้นที่ใหม่ๆ มากขึ้น จากเดิมที่โนเบิลมองกลุ่มลูกค้าต่างชาติไว้ที่สัดส่วน 15% ก็จะเพิ่มเป็น 28%
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้จะมีโครงการที่ทองหล่อกับวิทยุที่กำลังก่อสร้างและพร้อมขาย ซึ่งใน Pipeline ได้วางแผนไว้หมดแล้ว ส่วนปีหน้าจะมีโครงการใหม่ขึ้นมาอีก 4-5 โครงการ
ส่วนความร่วมมือกับทาง BTS ที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น นอกจากการซื้อสื่อโฆษณาบนสถานีแล้ว ยังดูอยู่ว่าจะมีความร่วมมือใดที่จะทำร่วมกันเพิ่มเติมอีกบ้าง