สายการบินนกสกู๊ต ออกประกาศว่า ได้ประเมินการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา สายการบินนกสกู๊ตตัดสินใจดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจการบินอย่างหนัก
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีสัญญาณอันดีเกี่ยวกับการแพร่ระบาดและมีบางประเทศที่เริ่มผ่อนปรนการเดินทางแล้ว แต่การเดินทางระหว่างประเทศยังคงถูกจำกัดและอาจมีผลกระทบไปอีก 2-3 ปี ทำให้การเดินทางไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปเท่าปี 2562
จากภาพรวมของตลาดอุตสาหกรรมการบินที่หดตัวลง สายการบินนกสกู๊ตจึงปรับลดจำนวนเครื่องบิน 3 ลำภายในสิ้นเดือนนี้ ส่งผลให้ทางบริษัทจำเป็นต้องตัดสินใจลดจำนวนพนักงานด้วยเช่นกัน โดยจะได้รับชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเหมาะสม
วิกฤตต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นกสกู๊ตได้ลดจำนวนพนักงานไปแล้วครั้งหนึ่ง เป็นการเลิกจ้างนักบิน 11 ตำแหน่ง และพนักงานต้อนรับบนเครี่องบิน 36 ตำแหน่ง
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สายการบิน นกสกู๊ต แจ้ง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท. หรือ CAAT) ขอหยุดให้บริการระหว่างเดือนมีนาคม-กรกฎาคม 2563
ในระหว่างปี 2559-2561 บริษัท สายการบินนกสกู๊ต จำกัด มีผลประกอบการขาดทุน 3 ปีติดต่อกัน ดังนี้
- ปี 2559 รายได้รวม 3,910 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 612 ล้านบาท
- ปี 2560 รายได้รวม 5,650 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 47 ล้านบาท
- ปี 2561 รายได้รวม 5,920 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,528 ล้านบาท
ทั้งนี้ สายการบินนกสกู๊ต ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 จากการร่วมมือทางธุรกิจระหว่างสายการบินสกู๊ต ประเทศสิงค์โปร์ และสายการบิน นกแอร์ ประเทศไทย โดยเป็นสายการบินราคาประหยัด (Low-cost Airline) ที่ให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะกลางถึงระยะไกล เช่น จีน อินเดีย ไต้หวัน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น