ทุกวันนี้การใช้งานอินเทอร์เน็ตกลายมาเป็นทางเลือกใหม่สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการหาซื้อตั๋วเครื่องบิน แพ็คเกจท่องเที่ยว และจองที่พัก โดยผลการสำรวจล่าสุดพบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในยุโรป (57%) หันมาซื้อสินค้าและบริการในแวดวงธุรกิจท่องเที่ยวผ่านระบบออนไลน์ สูงกว่านักท่องเที่ยว 23% เท่านั้นที่จองผ่านตัวแทน
การสำรวจสะท้อนว่าสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการตัวแทนหรือ Travel Agency นั้นมีจำนวนลดลงจากเดิม 28% เหลือเพียง 23% เท่านั้น ขณะที่สัดส่วนผู้จองและวางแผนการท่องเที่ยวผ่านศัพท์มือถือเพิ่มสูงขึ้นเป็น 16%
เว็บไซต์ Affili.net รายงานว่าปัจจัยหนุนที่ทำให้นักท่องเที่ยวยุโรปกว่า 57% ซื้อสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวผ่านทางออนไลน์คือดีลและโปรโมชัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจในการซื้อสินค้าและบริการในกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงที่สุด โดยกลุ่มตัวอย่าง 64% จะพิจารณาตัวเลือกจากดีล รองลงมาเป็นภาพถ่ายสถานที่ท่องเที่ยว (55%) และจากคำแนะนำ (38%)
จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวยุโรปนิยมเดินทางไปมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ ลอนดอน (16.9 ล้านคน) รองลงมาเป็นปารีส (16 ล้านคน) กรุงเทพมหานคร (12.2 ล้านคน) สิงคโปร์ (11.8 ล้านคน) และอีสตันบูล (11.6 ล้านคน) ส่วนสถานที่ที่มีอัตราเติบโตความนิยมและมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงรวดเร็วที่สุด คือริโอเดอจาเนโร (28.6 ล้านคน) โตเกียว (21.5 ล้านคน) กีโต (18.8 ล้านคน) รวมไปถึงอาบูดาบี (17.9 ล้านคน) และตูนิส (17.7 ล้านคน)
ผลการสำรวจพบว่านักท่องเที่ยวยุโรปจำนวนกว่าครึ่ง (52%) ที่ซื้อสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวผ่านทางออนไลน์ จะนิยมนำเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้รับจากการเดินทางมาแชร์ผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียสูงถึง 39% โดยส่วนใหญ่เป็นการแชร์ภาพถ่ายมากที่สุด 76% รวมไปถึงการรีวิวเกี่ยวกับที่พัก ร้านอาหารและการทำกิจกรรมต่างๆ
สิ่งที่เราได้จากข่าวนี้ คือคำแนะนำของ Affili.net สำหรับผู้ที่สนใจในการทำธุรกิจท่องเที่ยว คือเจ้าของเว็บไซต์ควรต้องมั่นใจว่าเว็บไซต์ที่ใช้ในการทำธุรกิจสามารถรองรับการใช้งานของอุปกรณ์ในแต่ละประเภทได้ เช่น โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต รวมไปถึงควรมีโปรโมชัน Voucher และ Cashback เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจในการซื้อสินค้าของลูกค้า
หากทำได้ เจ้าของเว็บไซต์จะสามารถโหนกระแสพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เพราะการสำรวจพบว่ายอดการใช้โทรศัพท์มือถือในการท่องเที่ยวของชาวดิจิตอลนั้นมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 450% ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (นับจากปี 2009)
ที่มา : Visual.ly