ตลอดปี 2021 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับวงการธนาคารมีการปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง และโอกาสของผู้เล่นรายใหม่มากที่สุด เพราะพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทยรุ่นใหม่ มีการปรับตัวจากรูปแบบเดิม ไปเป็นรูปแบบออนไลน์ดิจิทัลมากขึ้น ทั้งจากการกระตุ้นให้ใช้จ่ายผ่านโครงการของภาครัฐ การเข้ามาของธุรกิจบิทคอยน์ และการก้าวไปสู่โอกาสในการใช้จ่ายรูปแบบใหม่ของทุกธุรกิจ
ยิ่งทำให้ธุรกิจธนาคารต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย รวมทั้งต้องมองหาโอกาสที่จะสร้างความยั่งยืนไปพร้อมกัน
thumbsup ได้รับเกียรติจาก โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือ โค้ชหนุ่ม Money Coach ที่มาร่วมวิเคราะห์ภาพรวมวงการธนาคาร ปัญหาและการปรับเปลี่ยนของโลกการเงินให้ได้ฟังกันค่ะ
วิเคราะห์วงการธนาคาร 2021 – 2022
วงการธุรกิจสายการเงินปีนี้นะครับ ก็ถ้าเป็นฝั่งโดยปกติจะมีเรื่องของสินเชื่อต่างๆนะครับ เพราะต้องบอกว่ามีปัญหาพอสมควรนะครับ การปล่อยกู้ การให้สินเชื่อ ก็ไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อนเลยครับ เพราะว่าช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ก็มีความยาก ยกตัวอย่างเช่น คนกู้ซื้อบ้านซื้อรถ ในช่วงที่ผ่านมาก็กู้ไม่ผ่านกันพอสมควรรวมถึงสินเชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ก็จะมีปัญหาเรื่องของการผ่อนจ่ายผ่อนชำระกันพอสมควร เพราะฉะนั้นในมุมการเงินการธนาคารแบบดั้งเดิมก็ดูจะเรียกว่าติดขัดดูมีปัญหาอยู่พอสมควร
ถ้าเป็นกลุ่มของประกันกลุ่มของการลงทุนในกลุ่มประกันเราคงได้ยินข่าวนะครับ ว่าก็สายประกันที่ต่อสู้กับเรื่องโควิดก็เหนื่อยหน่อย หนักหน่อย ส่วนของการลงทุนเนี่ยต้องบอกว่ากลับด้านเหมือนกันนะครับเพราะว่าถ้าเป็นการลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศหรือลงทุนต่างประเทศโดยตรงเองก็ดี มีความคึกคักสูงมากนะครับ เหมือนกับประเทศเรามีคนอยู่ 2 กลุ่มเลยก็คือ กลุ่มที่มีปัญหากับกลุ่มที่มีเงินเหลือเฟือที่จะลงทุนอยู่นะครับ ในฝั่งการลงทุนต้องบอกว่าเป็นปีที่กลับมาคึกคักพอสมควร
โดยเฉพาะการลงทุนที่อยู่ในภาคต่างประเทศ ก็โดยรวมผมก็เชื่อว่ามันก็มีความเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่พอสมควรนะครับ แต่เราก็เชื่อว่าหลังจากผ่านวิกฤตอะไรต่างๆ ไปเนี่ยเราน่าจะมีกฎระเบียบใหม่ๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น กฎระเบียบหรือตัวเป็นการทางการเงินที่ออกมาเพื่อจัดการแก้ปัญหาเดิมๆ เลยครับ ที่น่าจะเป็นปัญหาระยะยาว อย่างเช่น ที่แบงค์ชาติกำลังทำอยู่ก็เป็นเรื่องของการลดภาระการผ่อน แล้วก็ทำให้ยืดระยะเวลาการผ่อนเป็นขั้นบันไดเพื่อช่วยคนที่มีปัญหามีเรื่องของ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยด้วยวิธีการรวมหนี้ (debt consolidation) ที่มาอีก 2 ปีจากนี้เลยก็คือ
ใครที่มีบ้านแล้วอยากจะรวมหนี้ต่างๆ มานะครับ ก็สามารถมารวมกันได้เงื่อนไขก็ดีไปหมดเลย ดอกเบี้ยก็ต่ำเป็นเลขตัวเดียว ไม่เสียเครดิตด้วยนะครับ อีกส่วนหนึ่งก็น่าจะมีพวกผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมา โดยอิงกับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในการเริ่มเห็นกองทุนที่ลงทุนในกลุ่มฟินเทคแล้ว ในกลุ่มที่เป็นบล็อกเชนแล้ว ผมว่าก็จะมากขึ้นนะครับ แล้วก็คงจะต่อเนื่องไปในปีหน้าด้วยครับ
ปีหน้าก็คงจะมีการเงินอยู่ 2 ฝั่งแบบนี้เหมือนเดิมนะครับ ฝั่งที่เป็นแบบดั้งเดิมเรื่องของสินเชื่ออะไรต่างๆ ก็น่าจะเป็นปีที่ต้องระมัดระวังตัว ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยสินเชื่อ การจัดการลูกหนี้อะไรต่างๆนะครับในส่วนของการลงทุน ผมว่ามันก็จะมีความคึกคักมาก ไม่ว่าจะเป็น สายเงินดิจิทัล เรื่องของการลงทุนในต่างประเทศโดยภาพรวมน่าจะเป็นประมาณนี้นะครับปีหน้าก็มีความใกล้เคียงกับปีนี้แหละเพียงแต่ว่าน่าจะมีโอกาสต่างๆที่มากขึ้นนะครับ เพราะว่าสถานการณ์ก็ดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นมาบ้าง
การเงินดิจิทัล โลกการเงินที่เปลี่ยนไป
สุดท้ายแล้วเนี่ยเราลองมองชีวิตประจำวันของเราก็ได้นะครับ โลกทุกอย่างมันก็จะผูกกับเศรษฐกิจหรือธุรกิจหรือธุรกรรมทางการเงินอยู่แล้ว จริงๆก่อนหน้านี้เนี่ยบางคนอาจจะไม่ได้มองนะ ยกตัวอย่างเช่นภาพมันก็คือเราใช้บริการมือถือเป็นแบบรายเดือนเป็นแบบรายเดือนก็คือเอาไปใช้ก่อนนะใช้จนครบ 1 เดือนแล้วเราค่อยจ่ายเขา ในมุมนึงเนี่ยอันนี้ก็เป็นการไฟแนนซ์แบบนึงนะ ก็คือฉันให้เธอยืมใช้ก่อนจากนั้นเธอก็ต้องมาจ่ายคืนฉันนะครับ
เพราะฉะนั้นธุรกิจทุกธุรกิจสามารถผสมผสาน (Blend) เข้าหาตัวเรื่องของการเงินได้หมดเลยนะครับสามารถเป็นตัวแทนทำธุรกรรมทางการเงินอะไรต่างๆได้หมดแหละครับ อย่างเช่นก่อนหน้านี้เราก็จะเห็นพวกร้านสะดวกซื้อใช่ไหมครับ ที่จะโดดมาทำตรงนี้แล้ว ค่ายมือถือยิ่งไปกันใหญ่เลย ถ้าเกิดว่ารูปแบบเงินปรับเป็นการใช้แบบดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็ใช้เยอะขึ้นแล้วนะซื้อของอะไรอย่างเดียว แล้วมันหมายรวมถึงแต้ม บัตรสะสม อะไรต่างๆ พวกนี้มันก็เป็นเงินดิจิทัลเข้ามานานแล้ว
เพราะฉะนั้น ในระบบของเงินทางด้านออนไลน์ดิจิตอลพวกนี้มีมานานพอสมควร กลุ่มธนาคารก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาก็เป็นกลุ่มธุรกิจที่ทำทางด้านการเงิน ถ้าเกิดว่าเขาอยู่นิ่งๆ แน่นอนว่ากลุ่มมือถือ ร้านสะดวกซื้อ เดี๋ยวคงจะมีธุรกิจอื่นๆ กระโดดเข้ามาเป็นผู้เล่นทางการเงินแบบกลายๆ ได้
แม้ว่ารัฐจะมีเงื่อนไขป้องกันว่าไม่ให้ใครมาเป็นธนาคารได้เพิ่มแล้วนะ ไม่มีการออกใบอนุญาต แต่ว่าเมื่อเงินดิจิทัลเกิดขึ้นรูปแบบของเงินที่โอนผ่านทางออนไลน์มันมากขึ้นเนี่ย ลูกเล่นทางการเงินมันก็จะเยอะมากขึ้นโดยธรรมชาตินะครับ เพราะฉะนั้นไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรเลยที่ธนาคารจะอดรนทนไม่ได้ เห็นว่าถ้าโตมากเกินไปและเราไม่ได้ไปร่วมมันก็ตกขบวน การเกิดกระบวนการที่เรียกว่าร่วมมือ ควบรวม รวมไปถึงค่ายมือถืออะไรต่างๆ
วันนี้เงินมันถูกโอนกันผ่าน มือถือสมาร์ทโฟนที่ใช้กันในชีวิตอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยไม่แปลกว่าถ้าเขาสามารถมีระบบบัญชี มี account มีการถอนเงินฝากเงิน เอาไว้ใน wallet ของเขาได้ มันก็ง่ายนะครับ ที่ธุรกิจธุรกรรมทางการเงินจะไปอยู่กับเขานะครับ ผมเชื่อว่าในปี – 2 ปีนี้จะเกิดการแข่งขันในธุรกิจการเงินกันแรงมากแล้วก็พูดเล่นจะไม่ใช่แค่ธนาคารมาซัดกัน มาชนกันละ จะมีสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเงิน มาร่วมเป็นคู่แข่งเยอะแยะ ทีนี้ธนาคารก็คงจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้
ส่วนธุรกิจสินค้าและบริการที่มันมีความผูกโยงกับเงินมีการเอาเงินมาพักกับเขาไว้ได้ ก่อนที่จะทยอยจ่ายต่างๆ ตรงนี้เขาก็จะมีโอกาสที่จะเข้ามาเล่นแบบนี้ได้ด้วยเหมือนกัน มันเป็นธรรมชาติ ส่วนเรื่องการควบรวมอะไรต่างๆ ต้องบอกว่ามันเป็นเทรนด์ของยุคใหม่อยู่แล้วครับ ผู้เล่นรายเล็กๆ ก็จะอยู่ยากอยู่ลำบากถ้าไม่มีความ unique หรือพิเศษจริงๆ ครับ ที่เหลือก็จะเป็นการร่วมมือกันจับมือกันของค่ายยักษ์ใหญ่ๆ ที่มันจะมาสู้กัน
การลงทุนในบิทคอยน์ โอกาสหรือความเสี่ยงของนักลงทุนรุ่นใหม่
Bitcoin หรือคริปโตเคอเรนซี่ต่างๆ นะครับ จากที่ศึกษาข้อมูลแล้วก็ดูข้อมูลมาตลอด ก็มีความรู้สึกว่า วันนึงก็คงจะขึ้นมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้ด้วยเหมือนกันนะครับ คือต้องบอกว่ามันไม่ง่ายนะครับ ที่เราจะเปลี่ยนคนนะ คือตอนนี้ทางฝั่งดิจิตอลเนี่ยมันเดินไปไกล วิ่งไปไกล แล้วก็จริง แต่ว่าก็ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าคนไทยกลุ่มใหญ่ๆ เลย ก็คือก็ยังไม่พร้อมอย่าว่าไปถึงพวกบิทคอยหรือคริปโตเลย เอาแค่พร้อมเพย์เราบางคนก็ยังงงอยู่เลยนะครับ มันเป็นเรื่องของดิจิทัลเคอเรนซี่ที่มีความต่างกันสูง
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนึงมันก็คงจะมาเทียบเคียงละกัน ผมก็ไม่เชื่อว่าเงินบาทหรือว่าเงินจากธนาคารกลางมันจะถูกลบล้างทิ้งไปทั้งหมด คิดว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้น แต่คงเป็นลักษณะของความนิยมในการใช้ที่มากขึ้นแล้วก็อยู่คู่กันก็เสมือนกับว่ามันก็เป็นเงินเหมือนกันนะครับ ไม่ว่าจะรูปแบบไหนนะครับ
ถ้าเอาเทียบกับโลกปัจจุบันก็คือเราจะมีเงินบาท เงินดอลลาร์ มีเงินเยนก็ถือว่าเรามีเงินเหมือนกันแบบนั้นนะครับ สิ่งที่ผมมีความกังวลอยู่ด้วยเหมือนกันก็คือ ความรู้ทางด้านดิจิตอลของคนไทยมันไม่ได้เท่ากัน 100% นะครับ ทีนี้พอมีการพูดถึงกันเยอะๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกของการลงทุน แม้กระทั่งคนที่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ก็อยากจะเข้าไปลงทุน โดยได้ยินว่ามันมีอัตราผลตอบแทนที่สูงนะครับ อันนี้ต้องระมัดระวังเพราะว่าบางทีเราคิดว่านี่คือโอกาสนะครับ
ความรู้ความเข้าใจที่มันอาจจะไม่เท่ากันแล้วเข้าไปลงทุนในต้องบอกเลยว่าก็ต้องระมัดระวังนะครับ เรื่องที่ผมอยากจะชวนดูชวนพิจารณานิดนึงก็คือว่า ผมก็ไม่เชื่อว่าเงินดิจิทัลทุกเหรียญมันจะดีเท่ากันนะครับ เวลาเราจะเรียกอะไรว่าเป็นสินทรัพย์หรือเรียกว่าอะไรว่าเป็น Asset ผมว่าอันดับแรกเลยเราต้องรู้ว่าคุณค่าของมันอยู่ตรงไหน ถ้าเราไม่รู้จักคุณค่าของมัน ยกตัวอย่างเช่น ที่ดินคุณค่าของมันคือเอาไว้ใช้ประโยชน์ปลูกบ้านก็ได้ ทำสวนไร่นาเกษตรก็ได้ ธนบัตรหรือเงินบาทของเรานะครับ คุณค่าของมันก็คือได้รับการยอมรับว่าสามารถเอามาชำระหนี้ได้ตามกฎหมายนะครับ หุ้นมีบริษัทอยู่ด้านหลัง บริษัทเติบโตขึ้นมูลค่าหุ้นก็เติบโตขึ้นสูง ผมก็ต้องถามว่าแล้วเงินดิจิตอลหรือคริปโตเคอเรนซี่ ที่เรากำลังสนใจมันมีคุณค่าในรูปแบบไหน บอกว่ามันคือ Currency มันมีคุณค่าแบบของเงินตรา
หัวใจสำคัญของเงินตราคืออะไร ก็คือ trust ความเชื่อถือ เชื่อถึงขั้นที่เราสามารถเอามันมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่เป็น physical ได้ คนยอมรับว่าเอาและเอาเหรียญมาซื้อของในชีวิตประจำวัน ผมถามว่ามันไปถึงตรงนั้นหรือยัง ก็ดูแล้วว่าเหรียญบางเหรียญไปถึงแล้วนะครับ เหรียญอื่นๆ บางอันก็อาจจะมีแนวโน้มจุดสำคัญมากนะครับ เราจะเรียกว่าเป็นเงินตรา ก็หมายความว่ามันต้องสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
สองคือมันสามารถเก็บสะสมมูลค่าได้ Store of Value ได้ ถ้าวันนี้เรายังไม่ใช้เหรียญนี้วันข้างหน้าเราจะเอาเหรียญมาใช้มันก็ยังใช้ได้นะ เหมือนแบงค์ 500 บาท เก็บไว้ในกล่องเปิดมาปีหน้าก็ต้องใช้ได้นะแม้ว่าเงินเฟ้อจะกินไปหน่อย แต่มันก็ยังใช้ได้ทุกวันนี้มันมีเหรียญแบบนั้นหรือเปล่า เพราะว่าเท่าที่ดูมันก็จะมีเหรียญประเภทวูบวาบแล้วจากไป เหมือนจุดพลุเลย เราก็ต้องระมัดระวังนะครับ
แต่นี่คืออะไรที่เป็น Currency มันไปถึงจุดนั้นหรือยัง คนเชื่อถือในตัวมันคนเอามาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนหรือยัง
อันที่สองคือมันมีอัตถประโยชน์อะไรครับ ถึงจะเรียกว่าเป็น Asset สินทรัพย์บางตัวที่เป็นดิจิทัลก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าเป็น smart Contact แล้วก็เอา Smart contract นั่นมาใช้ประโยชน์มาประยุกต์แล้วก็ทำประโยชน์อะไรอีกมากมาย ผมมองว่าสิ่งที่มันจะเป็น Asset ได้ มันก็ต้องสามารถใช้ประโยชน์ในตัวมันได้ คำถามคือตอนนี้มันมีเหรียญอะไรที่เอามาใช้ประโยชน์ได้มากกว่านะครับ ที่มันแค่ไปเหรียญหรือเปล่า
อันนี้ก็ต้องดูด้วยบางอันอาจจะใช้ในการแลกเปลี่ยนโอนเงินให้เป็น smart contract ซึ่งเอาไปทำสัญญากู้ยืมต่างๆ ก็อยากให้ดูตรงนี้เป็นหลักด้วยนะครับ
ก็จะชอบมีคำถามว่าเหรียญกำลังพุ่งซื้อได้ไหม ผมก็ถามไปว่าทำไมมันพุ่งล่ะ อธิบายได้ไหมว่า เพราะฉะนั้นต้องบอกเลยว่า ถ้าเราไม่เข้าใจมันก็จะเหมือนกับของสะสมที่ฮิตกันช่วงหนึ่งจากนั้นมันก็ไม่เก็บรักษามูลค่าอะไรให้เราเลยนะครับ แล้วก็กลายเป็นว่า เงินที่จ่ายไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วก็ไม่มีค่าอะไรนะครับเพราะฉะนั้นอยากให้ดูตรงนี้ดีๆ ด้วย
เพราะฉะนั้นถามว่าวันข้างหน้ามันจะมาทดแทนไหมอาจจะไม่ถึงทดแทนแต่ใช้คู่กัน มันดีทุกอันจนถึงขั้นลงทุนอะไรก็ได้หรือเปล่า ผมก็ว่าไม่ใช่ ก็อยากให้ดูเรื่องของประโยชน์การใช้งานนะครับ การยอมรับและความสามารถในการเก็บสะสมมูลค่านะครับ แล้วก็เครือข่ายจำนวนคนที่ใช้มันก็มีผลด้วย ยิ่งคนใช้มากและมูลค่ามันก็จะยิ่งสูงนะครับ เพราะฉะนั้น ก็ฝากดูตรงนี้ด้วยนะครับ มันเป็นโอกาสจริงๆ สำหรับคนรุ่นใหม่แต่ก็เชื่อว่าในมุมนึงมันก็มีหลุมพรางอยู่ ถ้าเราไม่เข้าใจ อันนี้ก็ต้องระมัดระวัง แล้วยิ่งถ้าเป็นเรื่องของการไล่ราคาแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับตลาดหุ้นเวลาที่มีหุ้นเล็กๆ ตัวนึง คนเข้าไปยุ่งยังไม่เยอะมากก็ปั่นราคาขึ้นมาได้ ผมว่าคริปโตในบางตัวก็ก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกันเพราะฉะนั้นระวังให้ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นจะเป็นความสูญเสียนะครับ
เหรียญที่คาดว่าจะมีโอกาสไปต่อได้
ผมก็เห็นอยู่ประมาณสัก น่าจะไม่เกิน 10 เหรียญหรือเปล่า ผมอาจจะข้อมูลยังไม่เยอะมากนะครับเพราะว่าเหรียญเยอะจริงๆ ที่ผมเห็นและยังใช้ประโยชน์ ก็อย่างเช่น บิทคอยน์ อีเทอร์เลียม XRP Ripple หลายๆ คนก็มองกลุ่มนี้ว่า โห ขึ้นไปเยอะแล้วนะครับ ทุกวันนี้หุ้นใหญ่ในประเทศก็ขึ้นไปเยอะแล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังมีคนลงทุนคนทำกำไรได้ เพราะฉะนั้น ดูเรื่อง
ของมิติต่างๆที่จะผลักดันมูลค่าของของที่เราถือครองหรือเหรียญที่เราถือครองไว้ด้วยนะครับอย่ามองแค่ว่ามันกำลังพุ่งเพราะว่ามันอาจจะเป็นกลการพนันกระชับหรือล่อลวงคนที่ไม่รู้เรื่องเข้าไปเสียเงินกันก็ได้นะครับต้องระมัดระวัง
2 แบงค์หลักปรับใหญ่ แบงค์ถัดไปควรทำอย่างไร
ผมว่าทุกๆ แบงค์หนีไม่พ้นเรื่องดิจิทัลนะครับ อยู่ที่ว่าจะเอาที่เข้ามาใช้เพื่อการบริหารจัดการ หรือเอามาสร้างประโยชน์อื่นๆ นะครับ ผมว่ามันมาแน่ๆ แต่ผมว่าโจทย์สำคัญมันอยู่ที่ว่าหนึ่งก็คือฐานลูกค้าสำคัญของเขาเป็นใคร เราก็จะเห็นแบงค์สีม่วงกับสีเขียว ที่ดูเหมือนกับต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลานะครับ ที่ขยับคืบหน้ากันตลอด
มีบางแบงค์ที่อาจจะยังอยู่เฉยๆ อยู่ว่าเพราะเขายังมีฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาจจะไม่ได้ require เรื่องของดิจิทัลอะไรรุนแรงมากนะครับ และขณะที่บางกลุ่มอาจจะมีรูปแบบการบริหารจัดการแบบเดิมๆ ซึ่งจริงๆ แล้วอย่างเคส เรื่องของพนักงานขายประกันหนักหน่วงที่ผมว่าก็ไม่ใช่แบงค์นั้น แบงค์เดียวนะ ไม่ใช่แบงค์สีเหลืองที่เป็นข่าวที่เดียวล่ะ ทุกๆ แบงค์ก็มีหมด เพราะฉะนั้น ผมว่า ในอนาคตมันจะปรับไปสู่การใช้ดิจิตอลแน่ๆ
แต่ว่าผมว่าขั้นตอนของการทรานซิชันเนี่ยมันคงไม่เหมือนกันความหมายคือถ้าลูกค้าของเขาอย่างเช่น แบงค์กรุงเทพ ผมว่าลูกค้าของเขาเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่นะครับ แล้วก็อาจจะยังไม่ require ตรงนี้มากนัก แต่ผมเชื่อว่าเขามีแผนนะ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเขาก็จะมีแผนแล้วก็จะปรับตัวกันอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่ว่าเขาก็ต้องดูลูกค้าหรือฐานเก่าของเขาเป็นสำคัญ ในขณะที่ ทาง SCB หรือ KBANK เนี่ย ผู้ใช้ก็จะเป็นกลุ่มคนทำงาน ช่วงอายุประมาณวัยเริ่มต้นทำงานจนถึงประมาณ 40 ถนัดเรื่องดิจิทัลมากๆ ซึ่งเขาก็ต้องแข่งต้องสู้กัน ต้องบู๊เยอะๆ
ส่วนเรื่องของการแนะนำการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินบอกว่าในอนาคตเนี่ยมันจะมีความยากมากขึ้นรูปแบบที่ใช้พนักงาน พยายามจีบลูกค้าให้ซื้อ เพื่อติดตามหน่อยซื้อหน่อยคิดว่าในอนาคตจะยากขึ้นเพราะว่าลูกค้าเองก็ หนึ่งมีความรู้มากขึ้น สอง มีความใส่ใจกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้นนะครับจะไม่ชอบยุ่งให้ใครมายุ่ง มาจีบมาติดตามอะไรมากจนเกินไปจะสังเกตได้จากเทรนด์ของคำแนะนำในเรื่องของการเงินเนี่ยนะครับไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือประกันจะมีพวก Robo เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นและรู้สึกว่า robo คนที่มาใช้บริการก็มีความรู้สึกว่าไม่ต้องยุ่งกับฉันมาก ฉันคุยกับ Robo ก็ได้
ว่าฉันมีรูปแบบการเงินแบบนี้มีคำแนะนำอะไรออกมา ถัดมาก็คือเรื่องของความรู้ที่เขาบอกว่าถ้าเขาเลือกตัวกองทุนแบบนี้แล้ว robo จัดให้เขา เขาก็ไม่ต้องมากังวลอะไร เพราะฉะนั้นรูปแบบจะมีความเปลี่ยนแปลงแบบนี้พอสมควร ดังนั้นผมเชื่อว่าสินค้าและบริการ หรือผลิตภัณฑ์และบริการของแบงค์เนี่ย
หนึ่ง ก็คงจะต้องมีเรื่องของดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำได้ง่ายขึ้นในมือถือแน่นอนเพียงแต่ว่าแต่ละคนก็จะปรับทรานซิชันตามลูกค้าของตัวเอง
สองคือสินค้าและบริการต่างๆ ก็จะมีรูปแบบใหม่ๆ ที่จะสะดวกมากขึ้นแต่ก่อนเบิกตังค์ก็ลำบากเหลือเกินต้องไปที่ธนาคารมีตู้ atm เดี๋ยวนี้ก็โอนกันง่ายขึ้น ในอนาคตก็จะไปผูกกับ Application อื่นๆ อย่างเช่น LINE หรืออะไรต่างๆ กันมากขึ้นทำให้มันกลืนไปหมดเลยชีวิตการใช้ชีวิตประจำวันของเรากับพวกของเรื่องของเงินๆ ทองๆ มันเข้ามาทำได้ทุกขั้นตอนอยู่ทุกที่ อยู่ที่ว่าทรานซิชัน ก็ทุกคนมีแผนแหละ ผมเชื่อว่าโจทย์ของเขาน่าจะมองที่ลูกค้าตัวเองแล้วก็ความพร้อมของตัวเองเป็นสำคัญ
การช่วยเงินสนับสนุนของรัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่
คือต้องแยกกันก่อนนะครับ ถ้าเป็นของธนาคารจะเป็นเรื่องของการอนุมัติหรือให้สินเชื่ออนุมัติเพื่อนำไปขับเคลื่อนชีวิต ในส่วนของรัฐเนี่ยก็ช่วยได้บ้าง ก็อาจจะเป็นตัวช่วยให้เขามีกินมีใช้ในชีวิตไปได้บ้าง ฝั่งของการให้สินเชื่อเนี่ย ยังไม่ง่ายนัก หลักการของการให้สินเชื่อง่ายๆก็คือผู้กู้จะต้องมีความสามารถในการชำระคืน
แค่เรื่องของรายได้ที่เปลี่ยนไปเรื่องของความมั่นคงทางการงานที่เปลี่ยนไป มันก็เป็นปัจจัยใหญ่นะที่ทำให้ธนาคารกังวลหรือไม่มั่นใจว่าควรจะปล่อยสินเชื่อให้หรือไม่อย่างไร เพราะฉะนั้นในปีหน้าเนี่ยผมก็เชื่อว่าสถานการณ์มันก็อาจจะอึมครึม แบบนี้อีกสักหน่อยนึง
แต่ว่าสิ่งที่มันจะต้องทำต่อก็คือภาครัฐเอง ผมก็เชื่อว่าน่าจะต้องมีการกู้เงินอีก เพื่อมากระตุ้นในจุดต่างๆนะครับผมเคยได้ฟังข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีข้อเสนอแนะนำว่าควรจะกู้อีก 1 ล้านล้าน เพราะว่าเด็กจบใหม่สองปีที่ผ่านมา ก็แทบจะตกงานกัน ดังนั้น เงินหมุนเวียนในระบบก็ดี การจับจ่ายใช้สอยมันยังไม่กลับมาเต็มที่ ภาคธนาคารเองก็มีความกังวลว่าปล่อยสินเชื่อไปแล้วจะเป็นหนี้สิน
ต้องบอกว่าเอาแค่อัตราการใช้บัตรเครดิตตั้งแต่ปลดล็อคดาวน์มาเนี่ย ผมดูข้อมูลแล้วเนี่ยนะครับน่าจะเยอะขึ้นเยอะขึ้นอีกนะครับเพราะว่าเงินในกระเป๋ามันยังไม่กลับก็ต้องใช้สินเชื่อ ทีนี้สินเชื่อที่ง่ายและใกล้ตัวเขา บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด อันนี้เขามีอยู่แล้วก็ใช้ได้เลย แต่ถ้าเป็นสินเชื่อบ้านผ่านกันไม่ได้ง่ายครับ ไม่ได้ง่ายเลย แล้วก็ตรงนี้เนี่ยก็เลยอาจจะต้องใช้เงินของภาครัฐเข้ามากระตุ้นต่อผมก็เชื่อว่าคงต้องเป็นแบบนี้ ทีนี้ภาคเอกชนธนาคารพาณิชย์ก็ต้องปล่อยแบบระมัดระวัง ไม่เต็มที่เต็มเหนี่ยว ในขณะที่ภาครัฐเองก็ต้องมีเงินสนับสนุนเข้ามาเพื่อช่วยทำให้กินอยู่ใช้จ่ายได้นะครับ
ในส่วนของภาคธุรกิจบ้าง ผมพูดให้ฟังนิดหนึ่งว่าทำไมภาคธุรกิจถึงไม่ได้สินเชื่อกันเลย ที่ผ่านมาผมก็ไปคุยกับธนาคารเหมือนกันว่าทำไมถึงกลุ่มเอสเอ็มอีถึงเข้าไม่ถึงเงินกู้อะไรต่างๆ สิ่งที่มันเป็นข้อเท็จจริง ก็คือว่า ธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอี ในช่วงสภาวะที่ทุกอย่างดีเป็นปกติระบบบัญชีใช้ไม่ได้เลย ระบบบัญชีเชื่อถือไม่ได้เลยความหมายคืออะไร ถ้าผมจะให้พนักงานประจำสักคนมายืมเงิน ผมก็จะดูสลิปเงินเดือนเขา ทำงานกับบริษัทที่มั่นคงเงินเดือนเขาโอเค ไปดูประวัติเครดิตชำระหนี้ดีไม่มีหนี้เยอะเกินไป ผมก็กล้าให้ ทีนี้พอถามว่าถ้าเป็นธุรกิจผมจะดูอะไร ผมก็ต้องดูงบการเงินที่ส่งสรรพากร คือต้องบอกว่างบแย่มาก นี่คือข้อเท็จจริงที่ผมได้รับมา เพราะฉะนั้นเค้าบอกเค้าก็ไม่กล้าปล่อย พอเห็นงบปุ๊บต่อให้มีเงินเข้ามารอเตรียมจะปล่อยก็ไม่กล้าปล่อย เพราะฉะนั้นตรงนี้เนี่ย ก็ต้องบอกว่ามีหลายมุมหลายองค์ประกอบ ไทยเองก็ยังไม่ได้ผ่านปัญหาไปแบบจริงๆ จังๆ
สภาพความเชื่อมั่นตอนนี้ก็ดูแบบเกร็งๆ ก็ต้องดูสถานการณ์กันก่อนไม่มีใครไว้ใจนะครับยิ่งหน้าหนาวแบบนี้นะเราได้ยินว่าต่างประเทศกลับมาติดกันเราก็มีความกังวลในฝั่งของเราตอนนี้กระสุนสำคัญก็คือภาครัฐแล้วก็มีแนวโน้มที่อาจจะต้องกู้มา เพื่อจะมาช่วยชดเชยอีกสักปีนึงครับ มีความเป็นไปได้นะเท่าที่ผมฟังข้อมูลจากหลายๆ แห่งนะครับ
โลกการเงินของประเทศไทยในปีหน้า และคนรุ่นใหม่ควรวางแผนชีวิตอย่างไร
ผมคิดว่าในปีหน้า จากประเมินตัวเองผมก็เป็นคนทำธุรกิจก็ประเมินภาพกว้างๆ สิ่งที่จะเกิดในปีหน้า สักมิถุนายน สถานการณ์ในประเทศน่าจะดีขึ้น จากอัตราการฉีด โดยเฉพาะวัคซีนทางเลือกอะไรต่างๆ น่าจะดีขึ้น ประกอบกับต่างประเทศเขาช้ชีวิตไปแล้ว การสั่งซื้อเริ่มทะยอยกลับเข้ามาใช้ชีวิตเป็นปกติ
ปีหน้าน่าจะมีการเลือกตั้งก็เห็นว่าเตรียมจะเป็นผู้ว่ากันแล้ว แล้วก็เตรียมระดับประเทศก็คงจะอีกไม่ไกลไม่นาน เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าแน่นอนว่าความพยายามผลักดันที่ทำให้เศรษฐกิจกลับมาเนี่ยมันน่าจะกลับมาเข้าที่เข้าทางแล้วก็หุ้นไทยเองก็มีโอกาสที่จะขยับ เติบโตขึ้นมาได้ ผมไม่ได้มองดัชนีเลยครับผมมองเป็นรายธุรกิจไป ธุรกิจที่เป็นธุรกิจที่มั่นคงจริงๆเขาก็จะตั้งหลักได้แล้วก็ดำเนินธุรกิจ แล้วก็สร้างกำไรเลยตามปกติได้ไม่ได้มองภาพรวมธุรกิจรายกิจการไป
ในส่วนของบุคคลทั่วไปอย่างเราๆผมแนะนำแบบนี้นะครับคือเวลาเราได้ยินสภาวะเศรษฐกิจอะไรต่างๆเข้ามาในหูของเราเนี่ย ผมอยากให้เราแบ่งแยกนิดนึงคือไม่ต้องไปเหมารวม ความหมายก็คือเศรษฐกิจไม่ดีก็คงไม่แปลกที่ชีวิตเราจะไม่ดีไปด้วยไม่จริง วันๆ นึงผมตอบคำถามทางอีเมล์เนี่ยนะครับ ร่วม 100 ฉบับต่อวันผมกล้าพูดได้เลยว่าโลกในช่วงโควิด การเงินของคนไทยต้องบอกเลยว่าเหมือน 2 ขั้วเลย
มีขั้วนึงที่ไม่พอกินไม่มีกินดูลำบากไปหมดกับอีกขั้วนึงที่พยายามจะหาช่องทางการลงทุนใหม่ๆ มีเงินเก็บเงินออมยังทำเงินได้ต่างๆให้เป็นปกติ ดังนั้นผมว่าอย่าไปเอาสภาวะภายนอกที่มากดเราไว้ว่ามันคงจะไม่ดีมันคงจะยังไม่ดีขึ้นมาก เราก็คงไปหวังอะไรไกลไม่ได้ ผมอยากให้เรามองเรื่องเงินการเงินส่วนบุคคลเป็นปัจเจกความหมายผมคือมองจากตัวเราออกไป วันนี้เราเงินเดือนน้อย ถ้าคิดว่ามันไม่พอกับการใช้จ่ายจริงๆเราก็ต้องหาช่องทางสร้างรายได้ที่ 2 ที่ 3 อาจจะสร้างจากความรู้ความสามารถของเรา
คือปัจจุบันหาเงินได้ง่ายขึ้นเยอะแล้ว ถ้าเป็นแต่ก่อนคุณเก่งเรื่องอะไรคุณบอกใครก็ไม่ได้ใครจะไปเชื่อคุณวันนี้คุณสามารถสร้างตัวตนได้จากโลกโซเชียลแล้วก็สร้างโอกาสให้คุณสามารถมีรายได้เสริมรายได้เพิ่มขึ้นมาถ้าเงินมันน้อยไม่พอใช้จริงๆ ผมก็เชียร์ว่าให้หาทางที่สอง ที่สาม
ถ้ามันพอจะพออยู่ก็ให้บริหารจัดการนิดนึงว่าเงินที่เรามีเนี่ย กินใช้ผมคิดว่าเอาตามความสุขเราแล้วกัน แต่ต้องไม่เกินตัว แล้วก็บริหารจัดการเงินเอาไปลงทุนเพิ่มเติม การลงทุนก็อย่าใช้เรื่องของความรู้สึกแห่กันไปแล้วเราก็ตามไปลงทุนครับ
แต่เชียร์ว่าทำยังไงให้เราจะมีความรู้ในเรื่องของการลงทุนนั้นๆ ได้มากกว่าคนอื่นแล้วก็สร้างโอกาสในการมีผลตอบแทนที่มากนะครับ จำไว้เลยว่าการลงทุนที่แห่กันไปถึงจุดนึงมันจะขาดอยู่แล้ว โดยธรรมชาติของมันนะครับ เพราะว่ามันมากเกินไปและคนที่ไม่รู้เรื่องก็เข้าไปเต็มไปหมดเลยนะครับ อันนี้ก็ต้องระมัดระวังด้วยในช่วงระยะเวลาระหว่างหาเงิน สร้างเงิน บริหารเงิน เรียนรู้เรื่องการลงทุนจริงๆ จัง
การลงทุนแบบดั้งเดิมเก่าๆ ก็ยังสร้างคนรวยมาเยอะแยะครับ เพราะฉะนั้น เอาสักทางขอให้ไปทางใดทางหนึ่ง ผมว่าอันนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่า ดังนั้นสุดท้ายแล้วคนที่จะดูแลกันตัวเองได้ดีไปตลอดรอดฝั่งตลอดปีหน้าและปีต่อๆ ไปได้ก็คือคนที่มีความรู้เรื่องการเงินจริงๆ ที่มันจะพอแล้วก็ผ่านทุกอย่างผ่านไปได้
เพราะฉะนั้นก็เชียร์ว่าผมเป็นคนที่อาจจะไม่ค่อยอิงกับสภาวะเท่าไหร่ สภาวะแบบไหนก็ต้องตั้งโจทย์ว่าเราจะอยู่รอด เราจะอยู่ได้และเราจะอยู่ได้ด้วยดีด้วยนะครับ
อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก มีโอกาสฟื้นไหม
ไม่มีทาง ยากมาก บาทกว่าก็หายากละนะ ตอนนี้เงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 25 สตางค์แล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันเลยต้องยอมรับว่าเราออยู่ในยุคที่เราต้องลงทุนให้เป็น แล้วลงทุนเนี่ยไม่ใช่แค่เอาเงินไปวางไว้ที่ๆ หนึ่ง แล้วก็ภาวนาให้มันขึ้น เราต้องรู้ด้วยว่ามันจะขึ้นนะครับ ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนบางอย่างเอาจริงๆ นะครับไม่ต้องทำอย่างไรครับหลายๆ อย่างที่เรารู้จักกัน หุ้น กองทุน คริปโต การลงทุนในสินทรัพย์ที่ดีในระยะยาวมันทำเงินอยู่แล้ว แต่เราก็จะอดไม่ได้ใช่ไหม ที่ว่าเห็นก็เทรดระยะสั้นกัน ต้องบอกเลยครับว่าหลังเกิดวิกฤตทางการเงิน อาชีพที่จะผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลย ก็คือเทรดเดอร์ ปี 51 ก็เป็นแบบนี้ครับ
แล้วไม่เกิน 2 ปีอาชีพนี้ก็จะหายไป ก็จะกลับมาใช้ชีวิตประจำแบบปกติ อันนี้ก็ไม่รู้เป็นคำทำนายรึเปล่านะ แต่ว่าพูดไว้ก่อนว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ หลายๆ คนถึงขั้นจบมาแล้วก็ไม่ทำงานนะครับ ขอคุณพ่อคุณแม่เป็นเทรดเดอร์ ก็เตือนไว้นิดนึงครับ เป็นเทรดเดอร์ได้ สร้างรายได้ได้ แต่ว่าอย่าลืมสร้างคุณค่าระหว่างทางด้วยนะครับ
เพราะฉะนั้นถ้าเรามีหน้าที่การงานอื่นด้วย มันก็เป็นการสร้างช่องทางหารายได้ โดยการลดความเสี่ยงลงดีกว่าที่จะฝากไว้กับทางใดทางหนึ่ง สุดท้ายแล้วโลกใบนี้เหมือนเดิมนะ คนที่จะเป็นสุดยอดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเช่น เทรดเดอร์เนี่ย ผมก็เชื่อว่าจะเหลืออยู่ประมาณสัก 5 เปอร์เซ็นต์ ครับที่สามารถทำกำไรเลี้ยงดูตัวเองได้จริงๆ ที่เหลือก็อาจจะต้องทำอะไรหลายอย่างประกอบกันครับ ให้ชีวิตตัวเองผ่านไปได้