หลังจากภาครัฐประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว เหมือนจะเป็นสัญญาณที่ดีของภาคธุรกิจ แต่เพนกวินอีทชาบู (Penguin eat Shabu) กลับมีการประกาศแล้วว่าไปต่อไม่ไหว จะมีการปิด 2 สาขาคือ สีลม และเชียงใหม่ เพื่อรักษาภาพรวมของธุรกิจให้ไปต่อได้รวมทั้งให้คำตอบแก่รายการทีวีรายการหนึ่งผ่านช่องทางโซเชียลของตนเองว่ายังต้องพยายามปรับตัวและรักษาธุรกิจให้รอดได้ในภาวะวิกฤตนี้รวมทั้งการลดไขมันให้องค์กรให้มากที่สุด
ทั้งนี้ ในเพจเพนกวินอีทชาบู ที่มีผู้ติดตามกว่า 494,594 คน มีคนแสดงความคิดเห็นกว่า 120 รายการ มีทิศทางคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันนั่นคือเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการประคองตัวเองไปต่อให้ได้ เพื่อลดภาวะการตกงานของพนักงานในร้านที่มีกว่า 200 คน จากทั้งหมด 9 สาขา แต่จากภาพรวมของภาวะวิกฤตก็เห็นได้ว่าเพนกวินยังไม่สามารถรับพนักงานกลับมาได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์
โดยเนื้อหาที่ประกาศผ่านเพจเพนกวินอีทชาบูว่า
สิ้นสุด คือ จุดเริ่มต้น
หยุดพักหายใจ #เพื่อไปต่อ
.
.
โพสนี้กวิ้นขอแจ้งพี่ๆทุกคน อย่างเป็นทางการว่า
กวิ้นจะขอปิด #สาขาสีลม และ #สาขาเชียงใหม่
อย่างเป็นทางการ แบบถาวรนะครับ
.
กวิ้นต้องขอขอบคุณพี่ๆทุกคนๆจากใจจริง
ที่ช่วยอุดหนุนกวิ้นและทีมงานมาตลอด3เดือนกว่า
ในช่วงที่ร้านกวิ้นโดนปิด
.
กวิ้นและทีมงานได้พยายามร่วมกันสู้ ในทุกๆทางที่พวกเราสามารถทำได้ ตามกำลังของพวกเรา ซึ่งเราก็สามารถมาได้ไกลกว่าที่พวกเราคิดไว้ในตอนแรกมาก และยังสามารถรักษาทีมงานกวิ้นไว้ได้ทุกคน
.
แต่เนื่องจากสถานการณ์และบริบทที่เปลี่ยนไป
ทำให้กวิ้นมาหารือกันว่า ถ้าเรายังต้องอยู่ในสภาวะหลังจากนี้
ที่คงจะ #ไม่มีอะไรเป็นNormal อีกต่อไป
พวกเราคงจะสู้อยู่ด้วยวิธีการแบบเดิมๆไม่ได้
.
เราจึงตัดสินใจว่า หลังจากนี้เราคงต้องใช้
#วิชาตัวเบา คือ พยายามทำให้ตัวเองตัวเบาที่สุด
และจำเป็นต้องตัดไขมันส่วนเกิน
ที่อาจทำให้เราเคลื่อนตัวช้าออกไป
จึงเป็นเหตุผลที่ กวิ้นจำเป็นต้องขออนุญาติ
ปิดสาขาทั้งสองสาขาดังกล่าว
.
มันจึงเหมือนเป็นการ #หยุดพักหายใจ
หยุดวิ่งเร็วเหมือนในช่วงที่ผ่านๆมา แล้วเปลี่ยนเป็นการค่อยๆเดิน
ค่อยๆได้หายใจ แม้อาจต้องใช้เวลาถึง 1-2ปี
ในการที่จะกลับมาเหมือนเดิมก่อนช่วงโควิท
แต่เอาจริงๆ 2-3เดือนที่ผ่านมานี้
กวิ้นก็ถือว่าเป็นกำไรของพวกเราแล้ว
.
ส่วนสำหรับสาขาที่ยังคงอยู่ กวิ้นสัญญาว่าจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งจะพยายามหา โอกาสใหม่ๆเพื่อมาทดแทนส่วนที่ขาดหายไป เพื่อให้เราสามารถกลับมาใกล้เคียงเดิมให้ได้เร็วที่สุด
.
ขอบคุณ พี่ๆทุกคนที่คอยช่วยเหลือกวิ้นเสมอมา
ขอบคุณ ทีมงานกวิ้นที่ไม่ยอมแพ้
ขอบคุณ โอกาสต่างๆที่เข้ามา
ขอบคุณ ที่ทำให้เราได้หยุดคิด
และขอบคุณ โควิทที่จะทำให้เราแข็งแรงขึ้น
.
.
#จุดสิ้นสุด ของสองสาขานี้ คงไม่ใช่การพ่ายแพ้
หรือยอมแพ้ต่อโชคชะตา
.
แต่จะเป็น #จุดเริ่มต้น ของสิ่งใหม่
ที่จะทำให้พวกเราก้าวต่อไป
แบบที่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม
จากนั้น Youtube Chanel ที่ชื่อว่า Torpeguin ที่เป็นแชนแนลให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจร้านอาหาร ของ ต่อ เพนกวินอีทชาบู ก็ได้ปล่อยคลิปใหม่ล่าสุดในวันนี้ โดยใช้ชื่อคลิปว่า จากใจเจ้าของร้านถึงภาครัฐ เกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 โดยสรุปสถานการณ์ของธุรกิจรายย่อยที่กำลังเจอปัญหาวิกฤตในขณะนี้ โดยเนื้อหาเขียนไว้ว่า
จากใจเจ้าของร้านถึงภาครัฐ l ก้าวต่อไป
เราทุกคนรู้ว่าสถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยมีใครเจอมาก่อน และผลกระทบจากเชื้อโควิด-19 นี้ก็ร้ายแรงกว่าที่เราทุกคนคาดคิด
อยากบอกว่าพวกเราและเจ้าของร้านอาหารทุกคนเห็นด้วยและเข้าใจในการปิดเมืองในครั้งนี้ เพราะร้านอาหารเราเองก็หนึ่งในพื้นที่เสี่ยงไม่น้อยกว่าสถานที่อื่นๆ
แต่สิ่งที่เราในฐานะของคนทำธุรกิจอาหารอยากขอจากภาครัฐก็คือ การสื่อสารที่ “ชัดเจน” และ นโยบายที่ “เกาถูกที่คัน” เพราะสิ่งที่เรารู้สึกกันตอนนี้คือภาครัฐไม่ได้เข้าใจและไม่ได้พยายามเข้าใจพวกเราจริงๆ เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาวันต่อวันเท่านั้น
ทำให้นโยบายแต่ละอย่างที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการพักเงินต้นแต่ดอกเบี้ยก็ยังคงวิ่ง การชดเชยผู้ได้รับผลกระทบแต่ก็ต้องออกจากการเป็นลูกจ้าง การออก Soft loan แต่ก็เข้าถึงเงินกู้ยากเท่าเดิม และมีข้อกำหนดที่มากขึ้น การลดเงินประกันสังคมหรือแม้กระทั่งการลดค่าไฟ 3% ซึ่งถือว่าน้อยนิดมากเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียต่อเดือน ไม่ต่างอะไรกับการเกาไม่ถูกที่คัน
ในขณะที่คุณก็ยังปล่อยให้ SME เล็กๆต้องไปต่อรองค่าเช่ากับห้างใหญ่เอง คุณก็ยังปล่อยให้ค่าไฟในการดำเนินธุรกิจ โดยที่ผู้ให้เช่าบวกค่า Premium เข้าไปยังชาร์จเราเต็ม 100% อยู่
สุดท้ายพนักงานที่ยังอยู่กับเราก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรเข้ามาช่วยเหลืออย่างชัดเจน เหล่านี้ไม่ใช่หรอที่มันเป็น fixed cost หลักที่จะทำให้ SME เล็กๆอย่างเราตายเร็วขึ้น แต่กลับไม่ได้รับการแก้ไข นี่ยังไม่รวมกับซัพพลายเออร์ทั้งประเทศที่เค้าจะต้องวางแผนล่วงหน้ากันเป็นอาทิตย์ๆ เพราะไม่ใช่ประกาศวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะมีของขายเลย
สุดท้ายคุณจะปิดต่อหรือให้กลับมาเปิดก็ยังไม่มีความชัดเจนซึ่งจริงๆเหลืออีกไม่กี่วันก็จะครบกำหนดแล้ว เราทุกคนไม่ได้ว่าหากจะมีการปิดเมืองนานขึ้น ถึงแม้จะทำให้เราหลายคนจะต้องล้มหายตายจากไปในระหว่างนี้
แต่ถ้ามันจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายขึ้นและไม่กลับมาระบาด เราทุกคนยอมเพราะมันเจ็บแต่จบ สิ่งที่เราต้องการตอนนี้เลยก็คือ การสื่อสารที่ “ชัดเจน” และ “การรับฟัง” ปัญหาจากปาก SME จริงๆ ไม่ใช่แค่การคิดเองเออเองแบบนี้ ปล. เนื้อหาในคลิปนี้เป็นการให้สัมภาษณ์สื่อๆนึงเลยขอเอาประเด็นที่สำคัญมาให้ได้ชมกันครับ
ก่อนหน้านี้ ผู้ติดตามเพจและโซเชียลของเพนกวินอีทชาบูจะเห็นความพยายามในการทำตลาดและสื่อสารกับผู้บริโภคมาตลอด ไม่ว่าเรื่องดีหรือร้ายก็พร้อมที่จะแก้ไขและออกมาขอโทษด้วยตัวเองตลอด ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์นี้ยังคงแข็งแรง หากสามารถรักษาธุรกิจนี้ให้อยู่ต่อหลังจบโควิดได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์
เป็นกำลังใจให้เจ้าของธุรกิจทุกท่านด้วยนะคะ ^__^