อย่างที่เรารู้ๆกัน ในตอนนี้กระแส Second Screen หรือการทวีตและแชร์ระหว่างชมรายการโทรทัศน์ กำลังมาแรงแซงทางโค้งจนนักการตลาดต้องหันมาให้ความสำคัญ เพื่อศึกษาและหาลู่ทางในการทำการตลาดอย่างได้ผล
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หากใครติดตามวงการเพลงฟากอเมริกาจะจำได้ว่ามีงานใหญ่อย่าง 2013 MTV Video Music Awards หรือที่วัยรุ่นเรียกกันชินปากว่า VMAs ไฮไลท์ของงานที่ทุกคนจำได้และไม่ลืมจนถึงทุกวันนี้ก็คือการดูโอคู่กันระหว่าง Miley Cyrus นักร้องสาวซ่า ไอดอลวันทีน และ Robin Thicke ที่มากับเพลง We Can’t Stop และเพลง Blurred Lines ที่นอกจากเนื้อหาจะล่อแหลมแล้วเมื่อเจอท่าเต้นของวสาว Miley ยิ่งเตลิดไปกันใหญ่
ในฐานะที่ Pepsi นั้นมีช่องทางในการทำการตลาดแบบ sponsorship เสียเป็นส่วนใหญ่ ล่าสุด Pepsi ได้หาทางศึกษาพฤติกรรม “Second Screen” ในช่วงที่ถ่ายทอดสด 2013 VMAs เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยรายการถ่ายทอดสด VMAs นั้นเป็นรายการที่มีผู้ชมอยุ่ใน่ชวงอายุ 12 -34 ปี และเป็นรายการประเภทถ่ายทอดสดแบบไม่ใช่รายการกีฬาที่มียอดผู้ชมสูงสุด
ซึ่งผลออกมาว่าเหล่า Gen-M นั้นมีพฤิตกรรมต่างกัน 2 แบบตามช่วงอายุ คือ ช่วงระหว่างที่รายการถึงจุดพีค หรือมีประเด็นร้อนอย่างการฟีเจอริ่งกันของ Miley Cyrus และ Robin Thicke เหล่า Gen-M ที่มีอายุระหว่าง 13 -26 ปี นั้นมีแนวโน้มจะหันมาทวีตและแชร์สถานการณ์ในทันที (ในตอนนั้นยอดการทวีตพุ่งชึ้นถึง 360,000 ทวีตต่อนาที) ในขณะที่ Gen-M ที่มีอายุระหว่าง 27 – 34 ปี นั้นดูรายการจนจบก่อนจะหันมาตอบโต่ หรือมีส่วนร่วมกับบทสนทนาต่างๆที่เกิดบนโลกโซเชียล
ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่อายุน้อยนั้นเตรียมพร้อมจะเริ่มบทสนทนาในโลกโซเชียลตลอดเวลา นายแชก สตับบส์ (Chad Stubbs), Senior director of marketing แห่ง PepsiCo เผยว่า เหตุการณืนี้ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่าการแทรกเนื้อหาความเป็นแบรนด์ตลอดจนจบรายการนั้น้เป็นสิ่งสำคัญ ไม่เหมือนในอดีตที่แบรนด์ต่างต้องการให้สื่อของตนได้รับความสนใจแบบยิ่งใหญ่ไม่ว่าจขะเป็นช่วงเริ่มรายการ หรือตอนจบรายการ
แต่อย่างไรก็ตาม Carolyn Kim, associate director of business intelligence แห่ง OMD ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เรื่องพฤติกรรมของ Gen-M นั้นแม้ช่วงวัยจะกว้างแต่พฤติกรรมพวกเขาไม่ได้ต่างกันมาก พวกเขาตั้งก็โตขึ้น พร้อมๆกับอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่แทรกอยยู่ในชีวิตประจัาวันเช่นกัน
ระหว่างการถ่ายทอดสด VMAs นั้น Facebook เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ถูกใช้งานมากที่สุด ด้วยปริมาณผู้ใช้ ถึง 41% ตามมาด้วย Twitter ที่ 32% แต่เนื้อหาของทั้งสองนั้นต่างกัน โดยเรื่องประเด็นร้อนขอ Miley นั้นโลดแล่นอยู่บน Twitter ในขณะที่การแสดงของ Justin Timberlake และ Katy Perry เป็นที่พูดถึงในวงกว้างบน Facebook
ซึ่งนายแชด สตับบส์ มองว่าเป็นเรื่องดีที่แบรนด์จะสามารถบาลานซ์การทำการตลาดทั้งบนโทรทัศน์ และสื่ออนไลน์ แต่ตัวเขาเองแนะนะให้จับตามองกิจกรรมและบทสนทนาบนโลกโซเชียล แม้ทีวีจะยังมีความสำคัญ แต่เขามองว่าการที่นักการตลาดจะทำโฆษณาเพื่อฉายบนโทรทัศน์อย่างเลิศหรูอลังการแล้วรอให้คนสนใจนั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ที่มา Adweek