อีกช่วงเวลาหนึ่งที่ถือเป็นช่วงที่คึกคักมากในตลาดการโฆษณาของสหรัฐอเมริกาก็คือช่วงการแข่งขัน Super Bowl ที่คนทั่วทุกมุมของประเทศให้ความสนใจและจับตามองการแข่งขันผ่านช่องทางต่างๆ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจหากค่าโฆษณาจะสูงลิบ รวมทั้งแบรนด์ต่างๆ ต่างต้องการที่จะทุ่มงบมาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาเพียงน้อยนิดก็ตาม ในปีนี้ แม้การแข่งขันจะยังไม่เริ่มต้นก็ตาม แต่ PepsiCo ถือว่าขึ้นเป็นผู้นำบนการโฆษณาบนโลกออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว
Doritos แบรนด์ขนมชื่อดังที่ PepsiCo เป็นเจ้าของได้ดึงดูดความสนใจบนโลกออนไลน์มากที่สุดตามการรายงานของบริษัทวิจัย Alterian ในขณะที่แบรนด์พี่น้องอย่าง Pepsi ได้กระแสเชิงบวกมากที่สุด ซึ่งผลการสำรวจได้อ้างอิงจากการสนทนาบนโลกออนไลน์ทั้งสิ้น 73,751 ข้อความตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
Doritos ได้รับการพูดถึงมากที่สุดด้วยจำนวนข้อความ 4,161 ข้อความ เอาชนะ Best Buy ไปได้ทั้งๆ ที่ Best Buy ได้สร้างกระแสอย่างมากมายด้วยการประกาศว่าศิลปินดังกล่าง Justin Bieber จะมาเป็นพรีเซนเตอร์ในโฆษณาช่วง Super Bowl โดย Best Buy ได้รับการพูดถึงทั้งสิ้น 2,282 ข้อความ
อย่างไรก็ดี การพูดถึง Doritos ไม่ได้เป็นด้านบวกไปเสียทั้งหมดเนื่องจากมีกว่า 12.2% เป็นการพูดถึงเชิงลบซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะ เมื่อเทียบกับ Pepsi ที่แบรนด์ลูกอย่าง Pepsi Max ได้รับการพูดถึงเชิงบวกมากที่สุดถึง 16.4%
ปัจจัยที่ช่วยให้ PepsiCo ได้ขึ้นเป็นผู้นำก็เนื่องมาจากการแข่งขัน Crash the Super Bowl (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ Crash the Super Bowl) ซึ่งหลังจากที่มีการประกาศเกี่ยวกับการแข่งขันไปตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2010 ที่ผ่านมาก็มีผู้ร่วมสร้างกระแสให้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในทางบวกและลบ อย่างไรก็ดี Doritos สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่าการเข้าของแบรนด์ทั่วไปถึง 4.5 เท่า
แม้ Facebook จะเป็นกระแสบนโลกออนไลน์ที่มาแรงที่สุด แต่จากการสำรวจกลับพบว่าการพูดถึงแบรนด์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบน microblogs อย่าง Twitter มากกว่า ซึ่งเว็บไซต์ social network (รวมถึง Facebook) มีส่วนแบ่งเพียง 11.7% เท่านั้น
อย่างไรก็ดีกระแสต่างๆ ช่วง Super Bowl นั้นแตกต่างกันอย่างมากในช่วงก่อนและหลังการแข่งขัน เช่น ในปี 2010 ผู้ที่รับการพูดถึงมากที่สุดหลังจบการแข่งขันกลับเป็น Google ที่มาพร้อมกับโฆษณา Parisian Love
สำหรับปีนี้ หลังจากที่การแข่งขัน Super Bowl จบลง คงต้องมาดูกันอีกครั้งว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรและใครคือผู้ชนะในมุมของการโฆษณาอย่างแท้จริง
ที่มา: Mashable