แม้ P&G จะไม่เลิกโฆษณาใน Facebook ไปซะทีเดียว แต่ก็วางแผนจะซื้อน้อยลง
Marc Pritchard ตำแหน่ง CMO เล่าว่า การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงมากๆ ใช้เงินค่อนข้างสูง แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้ส่งผลให้ธุรกิจแตกต่างไปจากเดิมมากนัก ซึ่ง P&G เองเคยมีประสบการณ์ในการลองใช้กับแบรนด์ Tide and Crest
มีวงในจากอุตสาหกรรมโฆษณาเล่าว่า น่าจะมีแบรนด์ที่เคยต่อรองค่าโฆษณากับ Facebook จากเหตุการณ์เมื่อปี 2012 ที่บริษัท General Motor เคยประกาศไว้ว่าจะหยุดโฆษณาก่อนหน้า Facebook จะประกาศ IPO 3 วัน แต่สุดท้ายก็กลับมาใช้หลักจาก 11 เดือนผ่านไป
ทางด้าน Facebook เองก็ออกมาเล่าว่า ธุรกิจของบริษัทกับ P&G เติบโตไปด้วยกันทุกปี โดยที่ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้กันและกัน และสร้างความท้าทายในการทำงานให้กับอีกฝ่าย ซึ่ง Facebook ขายโฆษณาทั้งแบบที่เหมาะกับคนทั่วไปและแบบที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย ใช้ได้ดีกับมือถือ และเป็นสื่อที่ควบคู่กับโทรทัศน์ เพื่อช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตขึ้น
ความแม่นยำของค่าโฆษณา
การลงโฆษณาแบบเจาะจงกลุ่มจะมีต้นทุนต่อการมองเห็นสูงกว่า แต่ P&G พบว่า ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาไม่ต่างกับการซื้อโฆษณาแบบหว่าน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับอีกหลายแบรนด์
ผู้จัดการ Mobext เล่าว่า “การเลือกกลุ่มเป้าหมายอาจจะเป็นการทดลองที่ดี แต่สุดท้ายแบรนด์อย่าง Tide and Crest อาจจะต้องการให้คนเห็นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” แบรนด์จึงไม่ได้ต้องการ Facebook นอกจากว่าต่อไปจะมีอะไรใหม่ๆ มากกว่านี้
ปัจจุบัน Facebook มีผู้ใช้ 1.7 พันล้านคน และยอดโฆษณาเติบโตขึ้น 62% เมื่อไตรมาสที่แล้ว โดยมีรายรับอยู่ที่ 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 216 พันล้านบาท)
Noah Mallin หัวหน้าด้านโซเชียลจาก MEC กล่าวว่า “Facebook สามารถเข้าถึงคนได้จำนวนมาก ในแง่ของแบรนด์จึงคิดว่า แล้วทำไมเราถึงจะไม่อยากให้คนเห็นแบรนด์เรามากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ซึ่งมีอีกหลายคนในวงการโฆษณาที่มีความคิดในเชิงเดียวกัน
บางคนอาจจะคิดว่างบถูกโอนกลับไปที่สื่อทีวี แต่ความจริงแล้วงบก้อนนั้นยังอยู่ใน Facebook เพียงแต่ไม่ได้เลือกซื้อโฆษณาแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายมากๆ อีกต่อไป และนั่นคือกลยุทธ์ที่ MEC วางแผนให้ลูกค้าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ที่มา : AdvertisingAge