ถือเป็นการเปิดตัวนวัตกรรมด้านแสงสว่างที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับ Philips Electronics (Thailand) กับวิสัยทัศน์ “แสงต้องเป็นมากกว่าการส่องสว่าง” (Light beyond illumination) ด้วยการผนวกเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) กลายเป็น Connected Lighting ให้สามารถควบคุมแสงไฟในหลากหลายแอปพลิเคชัน คาดตอบโจทย์ธุรกิจได้ตรงจุดมากขึ้น
คุณเฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “บริษัท Philips ก่อตั้งมากว่า 126 ปีแล้ว แต่ไม่มียุคไหนเลยที่เทคโนโลยีแสงสว่างจะพัฒนาได้มากขนาดนี้ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนจากยุค Analog สู่ยุคดิจิทัล (IoT) เปลี่ยนจากหลอดแบบ Conventional สู่หลอด LED เรายังเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานจากที่ต้องมีหลอดกับโคมมาสู่การจับหลอดกับโคมมาอยู่รวมกันเป็นชุดเดียว และที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนจากแสงเฉย ๆ กลายเป็นสิ่งที่มากกว่าแสงสว่าง”
“ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านแสงสว่าง เราได้ศึกษาปัญหา เทรนด์การใช้งานและอนาคตของอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อมองหาหนทางใหม่ๆ ในการรองรับและเพิ่มศักยภาพให้กับการใช้งานที่เปลี่ยนไปในอนาคต โดยในโลกที่กำลังก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยเทคโนโลยี “Internet of Things (IoT)” ทำให้เราเล็งเห็นถึงศักยภาพในการนำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดกับนวัตกรรมแสงสว่าง ทำให้อุปกรณ์สารพัดชนิด ทั้งอุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่าง สามารถเชื่อมโยงและสื่อสารถึงกันได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถใช้สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับแวดวงการตลาดได้ด้วย”
โดยทาง Philips ได้เลือกนวัตกรรมแสงสว่างอัจฉริยะ Connected Lighting บางส่วนมาจัดแสดงในรูปแบบละครเวทีเพื่อสื่อสารให้เห็นภาพมากขึ้น ได้แก่
Philips Guest by Design: เป็นการผสานระบบไฟแสงสว่างกับระบบอื่นในห้องพัก เช่น ระบบม่าน ระบบเครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ยกตัวอย่างการใช้งานในธุรกิจโรงแรมที่พัก เมื่อลูกค้ามีการเช็คอินที่เคาเตอร์ด้านล่างแล้ว ระบบอัตโนมัติจะสั่งการให้ห้องพักที่แขกจองไว้มีการเปิดไฟสร้างบรรยากาศ รวมถึงเปิดหรือปิดม่านเพื่อให้มีระดับของแสงลอดเข้ามาในห้องอย่างเหมาะสม และสามารถเปิดเครื่องปรับอากาศไว้รอได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถแจ้งสถานะของห้องไปยังระบบส่วนกลางเพื่อการจัดการห้องพักที่ดียิ่งขึ้นด้วย
Philips Connected PoE (Power over Ethernet): ระบบไฟอัจฉริยะในสำนักงาน ต่อไฟและเชื่อมเน็ตเวิร์กในคราวเดียวด้วยสาย LAN ควบคุมแสงสว่างเฉพาะบริเวณส่วนตัวได้จากสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ยกตัวอย่างเช่น หากมีพนักงานมาทำงานเพียงรายเดียวก็สามารถเปิดไฟเฉพาะจุดที่พนักงานคนนั้นนั่งทำงานอยู่ได้ ไม่ต้องเปิดทั้งฟลอร์อย่างที่หลายองค์กรทำอยู่ในปัจจุบัน พร้อมมีรายงานข้อมูลเชิงลึกด้านการใช้งาน เพื่อการวิเคราะห์วางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
Philips Indoor Positioning: สำหรับเทคโนโลยีนี้อาจเหมาะสำหรับซูเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างสรรพสินค้า โดยเป็นการปรับแสงสว่างจากหลอดไฟของ Philips ที่มีคลื่นความถี่ต่างกันในการนำทางลูกค้าให้ไปยังชั้นวางสินค้าที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง (ลูกค้าต้องติดตั้งแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการก่อน จากนั้นแอปพลิเคชันจะใช้กล้องดิจิทัลของสมาร์ทโฟนตรวจสอบกับแสงไฟที่ส่องเข้ามาเพื่อตรวจสอบตำแหน่งว่าตนเองอยู่ตรงจุดไหนของร้านค้า และจะได้เกิดการนำทางไปยังชั้นวางสินค้าที่ถูกต้องต่อไป
Philips CityTouch: ระบบการควบคุมไฟถนนอัจฉริยะที่ได้เชื่อมต่อเข้ากับโคมไฟแต่ละโคมผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ สามารถเปิดปิดหรือตั้งเวลาล่วงหน้าได้ผ่านแอปพลิเคชั่น พร้อมข้อความแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติกับโคมหรือตู้ไฟ โดยปัจจุบันมีการใช้งานแล้วในลอสแอลเจลลิส สหรัฐอเมริกา หรือบัวเอโนสไอเรส บราซิล ส่วนในภูมิภาค SEA ก็มีกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซียและมะละกา ของมาเลเซียด้วย
Philips HealWell: จากเดิมที่ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลจะเปิดหลอดไฟที่ให้แสงสว่างอยู่เป็นประจำ ซึ่งแสงที่สว่างจ้าเกินไปนั้นจะทำให้ผู้ป่วยพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่วน “HealWell” จะเป็นแสงที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีวงจรการนอนที่ยาวนานขึ้น และฟื้นตัวได้เร็วนั่นเอง
นอกจากนั้นก็ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในละครเวทีด้วย ดังนี้
Philips Luminous Textile: ยกระดับการตกแต่งภายในด้วยไฟส่องสว่าง ใช้วัสดุสิ่งทอจาก Kvadrat ผู้ผลิตสิ่งทอชั้นนำจากยุโรป ติดตั้งและควบคุมได้ง่าย
Philips Luminous Carpets™: ผสานเทคโนโลยีฟิลิปส์แอลอีดีเข้ากับพรมคุณภาพของ Desso ผู้ผลิตพรมชั้นนำ สามารถตั้งระบบให้แสดงไฟและข้อความได้ล่วงหน้า
Philips StoreWise: ระบบไฟอัจฉริยะ ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้บนสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต สำหรับห้างสรรพสินค้าและร้านค้า
Philips GreenManufacturing: ติดตั้งง่ายแทนโคมเดิมได้ทันที พร้อมฟังก์ชั่น “Daylight Harvesting” และ “Occupancy Control” ทำให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Philips ArenaExperience: ระบบไฟอัจฉริยะที่เข้าใจง่าย สะดวกต่อการใช้งาน ปิดและเปิดไฟได้ทันที ไม่ต้องรอ สามารถสั่งปรับหรี่ไฟ และการควบคุมในรูปแบบอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่
Philips ActiveSite: ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายด้วยโปรแกรมปรับเปลี่ยนเอฟเฟกต์แสงระยะไกลผ่านระบบคลาวด์ (Cloud-based control system) ติดตามสถานะการทำงานของอุปกรณ์ได้ตามเวลาจริง (RealTime)
นอกจากนวัตกรรมอัจฉริยะ Connected Lighting แล้ว ฟิลิปส์ยังเปิดตัวหลอดแอลอีดีรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นหลอดแอลอีดี บัลบ์ ดิมเอเบิล (Philips LED Bulb Dimmable) แบบหรี่แสงได้ หลอดแอลอีดี ซีนสวิตช์ (Philips LED SceneSwitch) ที่สามารถเปลี่ยนสี สร้างบรรยากาศใหม่ให้กับห้องได้เพียงเปิดปิด และชุดผลิตภัณฑ์สวิตซ์และเต้ารับรุ่นออริกามิสไตล์ (Origami Style) เพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งานของผู้บริโภคอีกด้วย
“ในฐานะผู้นำตลาดด้านธุรกิจส่องสว่าง ฟิลิปส์ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มมูลค่าและพัฒนาธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยวและการโรงแรม โรงพยาบาล หรือกับหน่วยงานรัฐ โดยเรามุ่งหวังที่จะสร้างความร่วมมือสำคัญในการวางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการต่อยอดที่ยั่งยืนในอนาคต” คุณเฉลิมพงษ์กล่าวปิดท้าย
สำหรับในปี พ.ศ. 2559 บริษัทฯ มียอดขายกว่า 7.1 พันล้านยูโร และปัจจุบัน มีพนักงานกว่า 34,000 คนทั่วโลก