โลโก้แบรนด์เปรียบเสมือนเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของแบรนด์ ที่จะสื่อสารไปยังผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราให้สามารถจดจำแบรนด์ของเราได้
ฟอนต์ในโลโก้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ การออกแบบฟอนต์ที่เหมาะสมก็จะยิ่งส่งผลต่อจิตวิทยาของลูกค้าให้มีความรู้สึกร่วมกับแบรนด์อีกด้วย
อักษรแบบ Serif
เริ่มต้นด้วยตัวอักษะแบบดั้งเดิมหรือ Seriff มีลักษณะคือมีหาง ให้ความรู้สึกเป็นทางการ คลาสสิก และน่าเชื่อถือ แบรนด์ส่วนใหญ่ที่ใช้มักจะมีภาพลักษณ์แสดงถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่
ตัวอย่างแบรนด์ ROLEX, TIME, GAP, Dior, VOGUE, GUCCI, Wikipedia
อักษะแบบ Slab Serif
ฟอนต์แบบ Slab Seriff จุดเด่นคือมีฐานที่หนา ตัวอักษรตั้งตรง เหมาะสำหรับใช้เป็นเนื้อความ และสามารถเป็นตัวพาดหัวได้ด้วย แสดงถึงความมั่นใจ เข้มแข็ง และกล้าหาญ เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
ตัวอย่างแบรนด์ SONY, HONDA, VOLVO
อักษรแบบ Sans Serif
Sans Serif เป็นฟอนต์ที่ทันสมัย ด้วยตัวอักษรดูเรียบๆ แต่ทรงพลัง เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสื่อสารถึงความก้าวหน้า ทันสมัย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีหรือสตาร์ทอัพ
ตัวอย่างแบรนด์ Google, Microsoft, Facebook, Pinterest
อักษรแบบ Script
จุดเด่นที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือเป็นอักษรที่เขียนด้วยมือ แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจ ให้ความรู้สึกไม่เป็นทางการแต่น่าหลงใหล แต่ต้องมั่นใจว่ารูปแบบตัวอักษรที่นำมาใช้นั้นอ่านง่าย
ตัวอย่างแบรนด์ Coca-cola, CupaChup, Ford, Disney, Instagram
อักษรแบบ Modern
รูปแบบอักษรสมัยใหม่ ออกแบบมาให้ดูเรียบง่าย อ่านง่าย แต่ใส่ลูกเล่นด้วยความหนา-บาง ระยะห่างตัวอักษร สื่อถึงความทันสมัย รวมถึงสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับแบรนด์ได้ง่าย ช่วยดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่
ตัวอย่างแบรนด์ Redbull, Dunkin, Mizuno, Calvin Klein
อักษรแบบ Decorative
สุดท้ายคือฟอนต์แบบ Decorative เป็นรูปแบบตัวอักษะที่สร้างสรรค์ได้มากที่สุด ช่วยให้แบรนด์สามารถเสริมสร้างเอกลักษณ์และจุดเด่นได้อย่างเต็มที่
ตัวอย่างแบรนด์ Lego, IBM, CNN, BBC, H&M