นี่คืออีกความเคลื่อนไหวที่นักการตลาดควรรู้ เพราะน้องใหม่เครือข่ายสังคมสุดฮิตอย่าง Pinterest เพิ่งประกาศเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าจะสนับสนุนคุณสมบัติ Do Not Track ซึ่งเป็นการปรับโปรแกรมให้ Pinterest สามารถทำงานร่วมกับเว็บเบราว์เซอร์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าไม่ให้เว็บไซต์หรือบริษัทอื่นเข้ามาเก็บข้อมูลส่วนตัวและประวัติการท่องเว็บ
Pinterest ไม่ใช่รายแรกที่หันมาส่งเสริมความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เนื่องจาก Twitter และโซเชียลมีเดียอื่นเริ่มประกาศสนับสนุนเทคโนโลยี Do Not Track ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีโซเชียลมีเดียอีกมากที่จะขานรับและทำให้เทคโนโลยี Do Not Track ขยายตัวแน่นอน
เทรนด์ความแพร่หลายของเทคโนโลยี Do Not Track นั้นเป็นสิ่งที่นักการตลาดดิจิตอลควรติดตาม เนื่องจากที่ผ่านมา นักการตลาดดิจิตอลได้ประโยชน์มากมายจากการเก็บข้อมูลประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ ซึ่งทำให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อส่งโฆษณานั้นทำได้ตรงกลุ่มมากกว่าเดิม เช่นในกรณีผู้ใช้ที่เคยค้นหาตั๋วเครื่องบินไปปารีส ประวัติการท่องเว็บจะทำให้นักโฆษณาที่ทำการตลาดสินค้าและบริการท่องเที่ยวในปารีส สามารถจัดส่งโฆษณาได้ตรงกลุ่มนักเดินทาง ซึ่งดีกว่าที่จะยิงโฆษณาไปในวงกว้างโดยที่ไม่ได้ทราบมาก่อนว่าผู้ใช้จะเดินทางหรือไม่
กรณีของ Do Not Track นั้นเป็นการตอบโจทย์ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบางรายไม่ต้องการให้มีใครติดตามประวัติการท่องเว็บไซต์ โดยผู้ใช้จะสามารถแสดงจุดยืนไม่อนุญาตให้ใครเก็บข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ใดๆก็ตาม ด้วยการตั้งค่าในโปรแกรมเปิดเว็บไซต์หรือเว็บเบราว์เซอร์ซึ่งจะมีเทคโนโลยีปิดกั้นการเก็บข้อมูลคุ้กกี้หรือประวัติการท่องเว็บไซต์ของผู้ใช้รายนั้น
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี Do Not Track นี้จะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้พัฒนาโปรแกรมเบราว์เซอร์, เจ้าของเว็บไซต์ และนักพัฒนาในการทำให้ Do Not Track สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ ซึ่งที่ผ่านมา ผู้พัฒนาเบราว์เซอร์นั้นขานรับเรื่องนี้แล้วเกือบทุกค่าย แต่มีเว็บไซต์จำนวนน้อยเท่านั้นที่สนับสนุน Do Not Track เนื่องจากการสนับสนุนนี้อาจทำให้เว็บไซต์ได้รับผลกระทบจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ ที่อาจจะทำให้เว็บไซต์ไม่มีประสิทธิภาพในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเท่าที่ควร
ถึงวันนี้ มีเพียง Twitter รายเดียวที่เป็นเครือข่ายสังคมซึ่งขานรันเทคโนโลยี Do Not Track กระทั่ง Pinterest คือรายล่าสุดที่ร่วมวง Do Not Track นี้ด้วยอย่างจริงจัง
ทั้งหมดนี้ Pinterest อธิบายว่าบริษัทต้องการมอบทางเลือกให้ผู้ใช้ ซึ่งชาว Pinterest จะสามารถเลือกเปิดและปิดฟังก์ชัน Do Not Track ได้ทันทีที่ต้องการผ่านหน้าเพจตั้งค่า Settings ถือเป็นการทุ่มเททำเพื่อตอบความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง
เรื่องนี้ Joseph Lorenzo Hall เจ้าหน้าที่อาวุโสของศูนย์วิจัย Center for Democracy & Technology (CDT) เชื่อว่าการสนับสนุนคุณสมบัติ Do Not Track ของทั้ง Pinterest และ Twitter เพื่อเป็นสัญญาณว่าทั้งคู่ต้องการปรับปรุงระดับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ โดยเฉพาะ Pinterest ที่ต้องการยกระดับความเป็นส่วนตัวหรือ More Personalized อย่างเป็นรูปธรรม
หากมองในแง่การตลาด จะพบว่า Pinterest ประกาศสนับสนุน Do Not Track ในเวลาเดียวกับที่ Pinterest แสดงออกว่าให้ความสนใจในการยกระดับระบบวิเคราะห์ประวัติการใช้งานของชาว Pinterest ให้ดีและละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อนำไปพัฒนาเป็นความสามารถใหม่ที่ตอบความต้องการของผู้ใช้แบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น จุดนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ Pinterest อาจสร้างสรรค์มาเพื่อสร้างสมดุลย์ก็ได้
ขณะเดียวกัน Do Not Track อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อ Pinterest เลยในการแสดงโฆษณา เนื่องจากหากผู้ใช้เป็นผู้ที่นิยมปักหมุดสูตรอาหารมังสวิรัติ ระบบของ Pinterest จะสามารถแสดงโฆษณาที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว จุดนี้ระบบ Pinterest ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคุ้กกี้หรือการติดตามประวัติการใช้งานเว็บไซต์ใดๆ โดยเฉพาะเมื่อ Pinterest ให้บริการคุณสมบัติใหม่ชื่อ Edit Home Feed ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งคอนเทนต์ที่ต้องการชมบนหน้าฟีดข่าวได้เอง
อย่างไรก็ตาม กรณีของ Do Not Track ยังเป็นที่ถกเถียงโดยหลายเว็บไซต์ที่มีรายได้หลักจากการแสดงโฆษณาซึ่งผู้ใช้ไม่ได้ปักหมุดหรือบอกให้ระบบทราบว่าให้ความสนใจเรื่องใดอยู่ โดยเว็บไซต์เหล่านี้ต้องการให้เทคโนโลยี Do Not Track มีกรอบการทำงานที่ชัดเจนกว่านี้ เนื่องจากมีความสับสนว่า Do Not Track นั้นหมายรวมถึงเฉพาะการ “do not collect” data หรือการไม่อนุญาตให้เก็บข้อมูล หรือรวมถึง “do not target” users หรือไม่อนุญาตให้กำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายเลย ซึ่งทั้งหมดยังไม่มีความชัดเจน