ข่าวใหญ่ของวันนี้ คงหนีไม่พ้นการร่วมมือกันเปิด Outlet แบบพรีเมียม ของ 2 ยักษ์ระดับโลก อย่าง บริษัท ไซม่อน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกมหาชนอันดับหนึ่งของโลก ที่มีมูลค่ากิจการตามราคาตลาดรวมกว่า 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และถือครองอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในวงการ ทั้งห้างสรรพสินค้า ห้างมิลส์ และพรีเมียมเอาท์เลตใน 12 ประเทศทั่วโลก กับ บริษัท สยามพิวรรธน์ เจ้าของและผู้บริหารโครงการระดับโลก อาทิ สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามพารากอนและไอคอนสยาม
ปั้นเป็นพรีเมียมเอาท์เลตแห่งแรกของไทย
ความน่าสนใจในการลงทุนร่วมกันครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางคุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สยามพิวรรธน์ กรุ๊ป เคยแสดงความคิดเห็นไว้ว่าไม่สนใจจะสร้างห้างสรรพสินค้าเพิ่มขึ้นอีก แต่ต้องการ “ปั้น” พรีเมียมเอาท์เลตแห่งแรกของไทยให้เกิดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาใช้จ่ายในไทยมากขึ้น
คุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สยามพิวรรธน์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามากว่า 35 ล้านคน และเพิ่มขึ้น 15-20% ต่อเนื่องทุกปี ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่ที่มาคือการช้อปปิ้ง แม้ว่าสยามพารากอน จะเป็นแหล่งรวมสินค้าแบรนด์เนม แต่ก็ยังเป็นรูปแบบของห้างสรรพสินค้าที่รวบรวมไลฟ์สไตล์ทุกด้าน ไม่ใช่แค่การช้อปปิ้ง การร่วมมือครั้งนี้จึงโฟกัสให้ชัดกว่าเดิม คือ เน้นเรื่องของการช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมเป็นหลัก
“ต้องยอมรับว่าในช่วง 8-10 เดือนนี้ มีนักลงทุนอยากเข้ามาลงทุนธุรกิจในไทยเยอะมาก จากโรดแมพของภาครัฐในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจใหม่ๆ ยิ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนมากขึ้น”
ในมุมมองของธุรกิจค้าปลีกของ สยามพิวรรธน์ เอง มีต่างชาติสนใจอยากเข้ามาลงทุนเยอะมาก แต่เราก็ไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น ต้องคิดให้รอบด้านในการพัฒนาทุก Segment เพื่อให้สิ่งที่บริษัทลงมือทำนั้น ตอบโจทย์ลูกค้า และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการไม่ใช่หวังแค่รายได้เข้ามาเติมเต็มการอยู่รอดของธุรกิจอย่างเดียว
แนวโน้มการแข่งขัน
“แม้ว่าจะมีผู้ให้บริการเอาท์เลตในไทยอยู่แล้ว แต่ก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันด้านราคาได้ เพราะกุญแจสำคัญในการเดินหน้าธุรกิจเอาท์เลตให้อยู่รอดได้ ราคาและส่วนลดที่นักท่องเที่ยวจะได้กลับไป”
งานนี้ มาร์ค ซิลเวสทรี Executive Vice President ไซม่อน พร็อพเพอตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า ทางบริษัทได้มีการพูดคุยกับแบรนด์ถึงเรื่องของราคาสินค้าทุกครั้ง ที่จะตั้งสาขาใหม่ ว่าราคาสินค้านั้นต้องเหมาะสม แม้ว่าอัตราภาษีของแต่ละประเทศ จะมีความแตกต่างกัน หากแบรนด์สามารถปรับราคาสินค้าให้เหมาะสมกับแต่ละประเทศได้ ย่อมดึงดูดการจับจ่ายของลูกค้าได้แน่นอน
“ราคาสินค้าเหมาะสม คุ้มค่าการเดินทางมาเยือน” ยังเป็นสูตรสำเร็จของ Simon Group ที่ทำให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงกับมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเหมาเครื่องบินเพื่อมาช้อปที่เอาท์เลตในเครือของไซม่อนกรุ๊ป นอกจากที่ตั้งของเอาท์เลตที่มีมากถึง 99 แห่ง ในสหรัฐอเมริกา และอีก 29 แห่งในต่างประเทศ และยังคงเดินหน้าหาจุดที่เหมาะสมในการตั้งเอาท์เลตแห่งใหม่
โดยมองกลุ่มเป้าหมายเป็นคนไทย 60% ชาวต่างชาติ 40% มีจำนวนร้านค้าปลีกทั้งของแบรนด์เนมระดับโลกและลักชัวรี่แบรนด์เนมของไทยมากกว่า 200 ร้านค้า มีราคาส่วนลดให้ลูกค้ากว่า 25-70%
ไซม่อน พรีเมียม เอาท์เลต เซ็นเตอร์ เพิ่งเปิดสาขาใหม่ในเกาหลีใต้ มาเลเซีย แคนาดา รวมทั้งที่ยังอยู่ในช่วงดำเนินการอย่างสเปน เยอรมณีและเม็กซิโกด้วย
ประเทศไทยคืออนาคตจุดช้อปปิ้ง
ก่อนหน้านี้ ทางไซม่อนก็มีความสนใจในประเทศไทยอยู่แล้ว เพราะอัตราการเดินทางเข้ามาไทยของนักท่องเที่ยวทั่วโลกบ่งชี้ว่าไทยคือจุดหมายปลายทางที่พวกเขาสนใจ แม้จะเข้ามาขยายสาขาในภูมิภาคเอเชียบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีความคุ้นเคยในไทยดีนักและยังอยู่ในช่วงศึกษาตลาด เมื่อทาง สยามพิวรรธน์ติดต่อเข้ามา ไซม่อน กรุ๊ป จึงเซย์เยสที่จะร่วมมือด้วยทันที
ด้วยความเป็น Luxuary Outlet จึงมองไว้ใน 3 แห่งที่น่าจะดึงดูดชาวต่างชาติได้ แน่นอนว่าต้องมีกรุงเทพฯ ส่วนเงินลงทุนใน 3 ปีจะใช้งบไม่น้อยกว่าหมื่นล้านทั้ง 3 โครงการ รวมทั้งได้จดทะเบียนบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อเดินหน้าโครงการนี้ ใช้เงินทุนจดทะเบียนกว่า 130 ล้านบาท
การเข้ามาเติมเต็มความต้องการด้านการช้อปปิ้งสินค้าพรีเมียมของไซม่อน กรุ๊ปนั้น จะสร้างสีสันให้ประเทศไทยเป็นเมืองที่ไม่มีวันหลับไหล เพราะคนอยากช้อปกันมากขึ้น และส่วนตัวผู้เขียนหลังจากดูคลิปวีดีโอเอาท์เลตของ Simon แล้ว อยากให้รีบเปิดบริการไวๆ เลยค่ะ มีการนำเทคโนโลยีดีๆ มาเสริมประสบการณ์เพียบ รับรองว่านักช้อประดับไฮเอนด์ทั่วโลก ที่เคยไปเยือนต้องอยากมาสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ที่ไทยแน่นอน