ในทุกวันนี้เรามีการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่งนั่นทำให้เกิดข้อมู
แน่นอนครับว่าข้อมูล หรือ Data มากมายที่ลอยอยู่ในอากาศ มีอยู่มากมายมหาศาล เกิดขึ้นมาพร้อมกับช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สังคมออนไลน์ เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน ในส่วนของนักการตลาด ก็มีข้อมูลที่ต้องการจะส่งไปให้ถึงผู้บริโภค ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา ซึ่งก็เช่นกัน ข้อมูลเหล่านั้นก็มีมากมายหลากหลายเช่นกัน ทำให้มีข้อมูลมหาศาลจากทั้งผู้รับ และผู้สื่อสาร แต่สุดทั้งหมดอาจจะไม่ได้เชื่อมต่อกันได้เลย
การโฆษณาและการตลาดยุคใหม่ จึงต้องพัฒนาเพื่อให้สามารถเชื่อมโยง “ช่องว่าง” ตรงนั้น หาวิธีแปลงข้อมูลเพื่ออ่านใจผู้รับสาร และสื่อได้ตรงใจ ซึ่งจุดมุ่งหมายในการคิดค้นนวัตกรรมนี้ ก็เพื่อเหตุผลข้างต้น แบรนด์จะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ ถูกใจ ถูกคน ถูกที่ และถูกเวลาที่สุด โดยทั้งหมดจะอยู่ในงบประมาณที่เหมาะสม การตลาดออนไลน์จะให้คุณได้ทำการตลาดแบบที่สามารถเชื่อมถึงลูกค้าได้จริงๆ โดยมีขั้นตอนจากการแปลข้อมูลจริง ประมวลผลภายในชั่ววินาที แล้วนำไปใช้ได้เลยทันที นวัตกรรมที่ว่าก็คือ DMPs ( Data Management Platform) โดยจะมีขั้นตอน 4 ขั้น ได้แก่:-
- Aggregation การรวบรวมข้อมูลที่มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายแหล่งข้อมูล เช่น อีเมล, ไอพีแอดเดรส, ข้อมูลการท่องเว็บ, ข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า เข้ามาในระบบ
- Profiling and Segmentation การจัดระเบียบข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ สร้างการเชื่อมโยงของข้อมูล หาความเหมือน-ความต่าง เพื่อนำไปวิเคราะห์การใช้งาน
- Utilization การนำข้อมูลไปใช้งานจริง เช่น การโฆษณาแบบเจาะจงบุคคล (Targeted) ผ่านไปในระบบ RTB เพื่อโชว์บนเว็บไซต์
- Visualization การประมวลภาพรวมผลการใช้งาน วิเคราะห์ผล และนำไปปรับใช้ในครั้งต่อไป
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น เราลองดูตัวอย่างธุรกิจอย่าง “เว็บไซต์ขายรองเท้า” ซึ่งตัวสินค้านั้นมีความพิเศษ โดยใช้สำหรับใส่เดินทาง มีการจับสัญญาณ GPS ที่รองเท้าเพื่อวัดระยะทาง เพื่อบอกตำแหน่ง และมีการจำหน่ายในประเทศไทย
เราเลือกที่จะเจาะกลุ่มคนที่สนใจเรื่องท่องเที่ยว, เรื่องเทคโนโลยี และอาศัยอยู่ในประเทศไทย ผ่านระบบ DMP ได้ โดยระบบจะทำการค้นหาข้อมูลของคนที่เคยเข้าเว็บไซต์จำหน่ายรองเท้า สนใจซื้อรองเท้า หรือมีประวัติการซื้อรองเท้าจากศูนย์กลางข้อมูลอย่าง DMP ที่มีเก็บไว้ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เกิดขึ้นภายในชั่ววินาที เพื่อที่เราจะนำแบนเนอร์ ขึ้นไปแสดงบนเว็บไซต์ที่กลุ่มเป้าหมายกำลังเปิดอ่านอยู่
การทำการตลาดออนไลน์แบบใหม่นี้ จะไม่ได้เน้นที่ตัวเว็บไซต์ที่จะมีการนำแบนเนอร์ไปลง แต่เน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงมากกว่า ซึ่งระบบ DMP จะช่วยให้แบรนด์สามารถหาพวกเขาเจอ และนำแบนเนอร์ไปลงเว็บใดๆ ที่เขาตามไปอ่าน (เชื่อว่าเพื่อนๆ thumbsup’er หลายคนคงเคยเจอ ที่เวลาเราเข้าใช้งานเว็บไซต์ต่างประเทศ แต่กลับพบแบนเนอร์หรือรูปแบบการทำโฆษณา ซึ่งเป็นภาษาไทย หรือมาจากเมืองไทย เป็นต้น)
แบรนด์หรือนักการตลาดไม่น้อย ยังคงมีการทำ Targeting ด้วย Demographics เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ อาจจะให้ผลที่ไม่แม่นยำอีกต่อไป เพราะผู้บริโภคจะมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น เช่น คุณครูอายุ 54 อาจจะชอบหรือสะสมตุ๊กตาบลายน์ แต่คนอายุ 17 ปีบางคน อาจจะกำลังหาข้อมูลเพื่อกู้เงินลงทุนทำธุรกิจก็เป็นได้
นอกจากระบบ DMP จะช่วยในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำขึ้นแล้ว ยังมีตัวช่วยในการประมวลผลของแคมเปญออนไลน์ได้รอบด้าน เพื่อช่วยในการจัดสรรงบประมาณ และวางแผนการตลาดต่อไป นักการตลาดจะได้เห็นภาพรวมของสื่อดิจิตอลทั้งหมดว่า สื่อใดให้ผลตอบรับเป็นอย่างไร สื่อใดทำหน้าที่ใดได้ดี ในกรณีที่เราใช้สื่อหลากหลายชนิด ผู้บริโภค 1 คน ได้รับสื่อกี่ช่องทาง สื่อใดที่เรียกความสนใจได้ดี สื่อใดที่ปิดการขายได้ดี และควรใช้ Message แบบไหนกับสื่อต่างๆ อย่างเช่น อีเมล, Facebook Ads, แบนเนอร์ หรือ SEM (PPC) เป็นต้น
หากเราไม่มีระบบนี้ เราก็จะเห็นเพียง Last Interaction คือ สื่อสุดท้ายก่อนการ Convert (ซื้อสินค้าบนเว็บ, กรอก Lead Form หรือ Click มาที่เว็บ) แต่ที่จริงแล้ว หากขาดสื่ออื่นๆที่ช่วยให้เกิด Demand หรือ Interest อาจทำให้สื่อสุดท้ายนั้นไม่สามารถ Convert ได้ ก็เป็นได้
บทความนี้อาจจะดูเป็นเรื่องใหม่ แต่แท้จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากๆ แค่เป็นเครื่องมือที่หยิบเอาสิ่งที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจากบทความนี้ผมจะขอสรุปประเด็นหลักๆ ได้ดังนี้นะครับ
- การโฆษณาที่มีการนำ Big Data (DMP) ไปใช้ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำ Targeting ปกติ เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำด้วยสถิติและการวิเคราะห์จากพฤติกรรมของผู้บริโภคจริง ณ เวลานั้นจริงๆ (Real Time)
- แน่นอนครับ ผลตอบรับของโฆษณาดีขึ้น เพราะตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
- การใช้งบประมาณจึงสามารถมีประสิทธิภาพ และชาญฉลาดมากขึ้น เพราะไม่ต้องกระจายสื่อไปกว้างๆให้ครอบคลุมกลุ่มที่ไม่ใช่เป้าหมาย
- เราสามารถมองเห็นภาพรวมและประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันของสื่อต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น
- ที่สำคัญตามชื่อหัวข้อครับ นี่เป็นการนำข้อมูลที่มีอยู่แล้วมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ที่เราเรียกกันว่า “Big Data” ครับ
สำหรับความสามารถของ DMP ยังมีอีกมาก หากนักการตลาดท่านใดสนใจศึกษาเพิ่มเติม หรือ รัน Test Campaign สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Syndacast หรืออีเมล info@syndacast.com
บทความนี้เป็น advertorial