ในที่สุด Rihanna Robyn Fenty หรือที่โลกรู้จักกันดีในนาม Rihanna ก็ได้รับการยอมรับในฐานะนักออกแบบระดับโลก โดยล่าสุด LVMH หรือ Moët Hennessy Louis Vuitton ซึ่งเป็นกลุ่มกลุ่มแบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีมูลค่าตลาดเกิน 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐประกาศว่า Rihanna จะสร้างแบรนด์ใหม่ที่มีความหรูเทียบเท่าแบรนด์ค้างฟ้า เช่น Dior, Givenchy รวมถึงอีกหลายแบรนด์ที่เป็นดาวค้างฟ้าในตลาดหลายสิบปีที่ผ่านมา
การประกาศครั้งนี้สะท้อนบทบาทใหม่ของ Rihanna ในวัย 31 ปี จากฐานะนักร้อง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Rihanna เปิดตัวแบรนด์แฟชั่นชื่อ Fenty รวมถึงแบรนด์เครื่องสำอาง Fenty Beauty คาดว่าจะมีการขยายเป็นแบรนด์ที่บ่มเพาะโดย LVMH (ปัจจุบันถูกเรียกชื่อแบรนด์ว่า Fenty Maison) ภายในเดือนพฤษภาคมนี้
การผงาดของ Rihanna ในวงการแฟชั่นถือเป็นเรื่องแหวกแนวมาก เพราะ Fenty Maison จะเป็นแบรนด์ใหม่แบรนด์แรกที่ LVMH กำลังบ่มเพาะพัฒนาเป็นการภายในตั้งแต่เปิดตัว Christian Lacroix ในปี 1987 แถม Rihanna ยังมีฐานะผู้หญิงผิวสีคนเดียวของแบรนด์ที่ทำงานใน LVMH เชื่อว่า Rihanna จะนำพลังใหม่มาสู่กลุ่มบริษัทที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟชันหรูหราแบบดั้งเดิม
จากทอมบอยชาวเกาะ สู่ดาวรุ่งระดับโลก
Rihanna มีภูมิหลังชีวิตไม่ธรรมดา การดึง Rihanna เข้ามาเป็นตัวหลักใน LVMH สะท้อนว่า LVMH เริ่มเข้าใจถึงแนวทางหล่อเลี้ยงธุรกิจสินค้าแบรนด์หรูยุคใหม่ ว่าอาจไม่ได้มาจากการสร้างชื่อให้เก่าแก่อีกต่อไป แต่จะมาจากการรวบรวมนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมแบบคลาสสิก ซึ่งเป็นนักออกแบบที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภคผ่านสื่อสังคมออนไลน์
ประเด็นนี้สื่ออเมริกันมองว่า นักออกแบบผิวสีนั้นหายากมากในโลกธุรกิจแฟชั่นระดับบน จุดเปลี่ยนอาจจะอยู่ที่บุคคลอย่าง Virgil Abloh ที่ออกแบบแบรนด์แฟชั่นของตัวเอง พร้อมกับออกแบบกระเป๋าเดินทางชื่อดังอย่าง Rimowa, ขวดน้ำ Evian และเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นของ Ikea คู่ไปด้วย ล่าสุด Virgil Abloh ถูก Louis Vuitton ดึงไปเป็นหัวหน้าธุรกิจเสื้อผ้าบุรุษเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งคาดว่านับจากนี้โลกจะเห็นผลงานของชาวผิวสีบนรันเวย์มากขึ้น
สำหรับ Rihanna นั้นถูกมองว่าเคยเป็นทอมบอยในบ้านเกิดเขต Saint Michael บนเกาะบาร์เบโดส เธอเป็นลูกคนโตของคุณแม่นักบัญชีและคุณพ่อที่เป็นหัวหน้างานด้านคลังสินค้า วัยเด็กของเธอค่อนข้างลำบากเพราะพ่อมักจะเมากลับบ้าน ใช้ความรุนแรง และใช้ยาเสพติดจนตกงาน Rihanna เคยเครียด ปิดตัวเองและไม่พูดกับใคร จนมีอาการปวดหัวรุนแรงซึ่งทำให้นักเรียนที่เคยถนัดวิชาคณิตศาสตร์และเคมี ต้องพบกับภาวะเกรดที่ลดลง และถูกเพื่อนล้อเรื่องสีผิวตลอดเวลา ด้วยพฤติกรรมของพ่อทำให้ Rihanna ไม่ใช่คนที่โอนอ่อนยอมแพ้ แต่จะใช้หมัดกับคำเย้ยหยันเหล่านั้น
ฝันของ Rihanna อยู่กับเสียงเพลง เธอเปิดวิทยุ ร้องเพลง รู้อยู่ในใจว่าอนาคตของเธออยู่ในโลกของดนตรี เมื่อพ่อแม่แยกทางกันช่วงที่เธออายุ 14 ปี ในที่สุดเธอก็หายจากอาการปวดศีรษะ และช่วยหารายได้ให้ครอบครัวด้วยการขายเสื้อผ้าในแผงลอยบนถนน
การเติบโตกับพี่น้อง ทำให้ Rihanna ต้องพิสูจน์ว่าตัวเองแข็งแกร่ง เธอเลือกแต่งตัวทอมบอยและกลายเป็นนักเรียนนายร้อย ก่อนจะเดินตามฝันจนเป็นนักร้องดัง หลังจากหลายปีที่ถูกรังแก และเป็นพยานได้เห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพ่อ ทำให้ Rihanna ในวันนี้ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ กลายเป็นทัศนคติที่เธอยึดถือมาจนถึงทุกวันนี้
อะไรก็ไม่น่าเกลียดถ้า Rihanna ชอบ
เส้นทางดนตรีของ Rihanna นั้นสดใสจนไม่ต้องอธิบาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรสนิยมที่ผลักดันให้ Rihanna ถูกมองว่าเป็นคนมีของที่น่าสนใจในโลกของแฟชั่น ถึงกับมีคำกล่าวว่า “อะไรก็ไม่น่าเกลียดถ้า Rihanna ตัดสินว่าดี” ผลงานล่าสุดของ Rihanna คือการจัดโชว์ Savage X Fenty พร้อมกับแคมเปญฉลองความหลากหลายของหุ่นนางแบบ ทำให้นางแบบในโชว์ของเธอมีความสูงและน้ำหนัก ผิวสีที่ต่างไป รวมถึงคุณแม่ตั้งท้องแบบชนิดที่ “no criteria needed” ไม่ต้องมีกฏเกณฑ์ใดๆ
เสียงตอบรับต่องานออกแบบของ Rihanna เป็นไปในทางบวก เรื่องนี้ Rihanna ยอมรับว่าการออกแบบกับ LVMH เป็นช่วงเวลาที่พิเศษอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเสริมในแถลงการณ์ว่า Bernard Arnault ประธานและซีอีโอของ LVMH ให้โอกาสพิเศษแก่เธอในการพัฒนาแบรนด์แฟชั่นระดับหรูหราโดยไม่มีข้อจำกัดทางศิลปะ ทำให้เธอบอกว่าไม่สามารถมองหาหุ้นส่วนที่ดีกว่า LVMH ได้อีกแล้ว ทั้งในมุมสร้างสรรค์และชาญฉลาดทางธุรกิจ
“ฉันพร้อมแล้วที่โลกจะได้เห็นสิ่งที่เราได้สร้างขึ้นด้วยกัน”
วันนี้แผนกเครื่องหนังและสินค้าของ LVMH ประกอบด้วย Louis Vuitton, Christian Dior Couture, Celine, Kenzo, Givenchy, Fendi, Marc Jacobs และอีกมากมาย ในขณะที่ธุรกิจไวน์และสุรามีแบรนด์ Moët & Chandon และ Dom Pérignon เป็นหมากตัวหลัก นอกจากนี้ LVMH ยังให้การสนับสนุน Fenty Beauty แบรนด์เครื่องสำอางที่ประสบความสำเร็จเป็นพิเศษของ Rihanna ซึ่งตัว Arnault เองก็ยกว่า Rihanna เป็นผู้ประกอบการตัวจริง ถือเป็นซีอีโอที่แท้จริงและเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม
ที่มา: : FastCompany