หากใครยังจำได้ถึงเหตุการณ์แบตเตอรี่ระเบิดใน Samsung Galaxy Note7 เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา วันนี้หลายคนคงได้พบกับความรู้สึกอีกแบบ เมื่อ Samsung สามารถทำให้ชื่อ Galaxy Note8 กลายเป็นสมาร์ทโฟนในดวงใจของใครหลายคน พร้อม ๆ กับการปลุกชื่อของ Note7 ขึ้นมาใหม่ในฐานะ “บทเรียน” ที่ทำให้ Note8 เป็น Note8 ได้ดียิ่งขึ้น
โดยต้องบอกว่าเป็นความใจกล้าของ Samsung เหมือนกันที่เลือกจะคืนชีพ Note7 อีกครั้งกับบทบาท “ผู้ช่วย” ให้พระเอกของปีนี้อย่าง Note8 โดดเด่นขึ้น ซึ่งคุณวิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเล็กทรอนิคส์ จำกัด กล่าวว่า จุดแข็งด้านการตลาดของ Note8 อยู่ที่เทคโนโลยีที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ตลอดทั้งวัน หรือก็คือ Samsung ตั้งใจให้ Note8 เป็นเสมือน Life Companion นั่นเอง
“ทุกวันนี้ ผู้บริโภคยุคใหม่ใช้สมาร์ทโฟนเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว โดยอุปกรณ์ที่หยิบเป็นชิ้นแรกหลังตื่นนอนก็คือสมาร์ทโฟน และเป็นอุปกรณ์ตัวสุดท้ายที่จะวางก่อนจะนอนหลับด้วย ดังนั้น การใส่เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคจึงเป็นสิ่งสำคัญ”
ส่วนการใช้งานสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคชาวไทยนั้น พบว่า ปัจจุบันเราใช้สมาร์ทโฟนเฉลี่ย 230 นาทีต่อวัน โดยประเภทของการใช้งานที่พบมากที่สุดสามอันดับแรกคือ ใช้เพื่อการติดต่อสื่อสาร 75 นาที, ใช้แอปพลิเคชัน 67 นาที (หลัก ๆ คือ Social Media และ Internet Banking) และใช้งานด้านความบันเทิง 45 นาที
จากความต้องการใช้งานข้างต้นจึงทำให้คนไทยมีแนวโน้มต้องการสมาร์ทโฟนจอใหญ่กว่าเดิม ซึ่งพบว่ามีความสอดคล้องกับเทรนด์โลกด้วยเช่นกัน โดยผลวิจัยของ Strategy Analytics คาดการณ์ไว้ว่า สมาร์ทโฟนหน้าจอขนาด 6 – 6.99 นิ้วจะมีส่วนแบ่งในตลาดเอเชียแปซิฟิกเพิ่มเป็น 42.5 ล้านเครื่องภายในสิ้นปีนี้ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 98.8 ล้านเครื่องในปี 2022 หรือเติบโตขึ้นกว่า 126.11%
ด้วยเหตุนี้ Samsung จึงมองว่ารูปแบบการแข่งขันของสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ในอนาคตจึงเป็นการแข่งขันเพื่อให้สมาร์ทโฟนสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้ดีที่สุด โดยมองว่านั่นเป็นวิธีการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของแบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะรุ่นไฮเอนด์ที่มีราคาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งในจุดนี้ Samsung มองว่า Note8 เป็นอีกหนึ่งโปรดักซ์ที่ตอบโจทย์เพราะมีความสามารถที่เป็นที่ต้องการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น S Pen ที่มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ ๆ เช่น การสร้าง Live Message ได้ และสามารถแชร์ไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่รองรับไฟล์ Gif ได้, Dual Camera กล้องคู่ความละเอียด 12MP, Dual OIS ระบบป้องกันการสั่นสะเทือนทั้งเลนส์ Wide และเลนส์ Telephoto, Dual Capture เทคโนโลยีการถ่ายภาพที่สามารถถ่ายทีเดียวได้สองรูป ทั้งภาพแบบ Portrait และภาพมุมกว้าง, จอภาพไร้กรอบ Quad HD Super AMOLED ขนาด 6.3 นิ้ว, Dual Pixel พร้อมระบบออโตโฟกัสแบบทันที สามารถเก็บภาพได้ในภาวะแสงน้อย, ระบบยืนยันตัวตนหลายแบบทั้งแบบปลดล็อกปกติอย่าง Pattern, PIN, Password, ระบบปลดล็อกไบโอเมทริกซ์ เช่น สแกนม่านตา สแกนลายนิ้วมือ และระบบจดจำใบหน้า, โปรเซสเซอร์ Octa Core 64 bit 19nm ฯลฯ
สำหรับในด้านยอดจองนั้น คุณวิชัยเผยว่า Note8 เป็นสมาร์ทโฟนที่ทำตัวเลขได้ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมียอดพรีออเดอร์สูงกว่า S8 50% และสูงกว่า Note7 ถึงหนึ่งเท่าตัวด้วย โดยผู้ที่สั่งจองสามารถรับสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนที่จะถึงนี้ และส่วนของผู้ซื้อแบบวอล์กอินก็สามารถหาซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนเช่นกัน (ในจุดนี้ Samsung แจ้งว่า ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละสาขามีสินค้าคงเหลือหลังจากกลุ่มพรีออเดอร์หรือไม่)
ท้ายสุด Samsung ยังได้หยอดคำหวานถึงแฟน ๆ Note ด้วยว่า เหตุการณ์ของ Note7 ได้เคยทำให้ Samsung เคยอยู่ในภาวะที่ว่าจะเลือกยอมแพ้ หรือจะสู้ต่อดี แต่เพราะกำลังใจจากแฟน ๆ ตระกูล Note ทำให้ Samsung ตัดสินใจสู้ต่อ และสุดท้ายก็สามารถสร้าง Note8 ขึ้นได้ภายใต้แนวคิด Do Bigger Things หรือแปลเป็นไทยได้ว่า ทำให้ใหญ่กว่าใจคิด โดยมี Note7 เป็นบทเรียนสำคัญ
การเกิดความผิดพลาดสำหรับ Note7 จึงไม่ใช่ความเสียหายเสียทั้งหมด เพราะวันนี้ Samsung สามารถพลิกให้ความเสียหายนั้นกลายมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า “บทเรียน” ของผลิตภัณฑ์รุ่นต่อ ๆ มาได้สำเร็จด้วยดีนั่นเอง