ในที่สุดก็ถึงจุดเปลี่ยนของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Microsoft ที่วันนี้ Steve Ballmer ได้ลงจากตำแหน่ง CEO เพื่อเปิดให้มันสมองรุ่นใหม่อย่าง Satya Nadella ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนที่ 3 อย่างเป็นทางการ ลองมาติดตามดูครับว่า CEO คนใหม่ของ Microsoft คนนี้เป็นใคร และเขาจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงบริษัทได้อย่างไร
Satya Nadella เป็นชาวอินเดียเต็มตัว เขาเกิดและโตที่เมือง Hyderabad ในประเทศอินเดีย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ก่อนที่จะมาเรียนต่อปริญญาโททางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ University of Wisconsin – Milwaukee และตามด้วยปริญญาโทอีกใบทางด้าน MBA ที่ University of Chicago
Satya ได้เริ่มทำงานที่ Microsoft ระหว่างที่เขายังเรียน MBA อยู่ โดยในขณะนั้น Microsoft กำลังพัฒนา Windows NT และต้องการผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้าน UNIX และระบบปฏิบัติการ 32 บิต เขาจึงได้เข้าร่วมทีม Microsoft ตั้งแต่ปี 1992 และถึงขณะนี้ Satya ได้เป็นพนักงานของ Microsoft มากว่า 22 ปีแล้ว และที่ผ่านมาเขาคือเรี่ยวแรงสำคัญของบริษัทในการผลักดันหลายๆ ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเป็นหัวหน้าทีมของฝ่ายวิจัยและพัฒนาบริการออนไลน์ต่างๆ ของ Microsoft ด้วย โดยตำแหน่งล่าสุดของ Satya คือ Executive Vice President ผู้ดูแลกลุ่มธุรกิจ Cloud และ Enterprise
ในการเข้ารับตำแหน่ง CEO คนใหม่ของ Microsoft นี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายกับบริษัทมาก แหล่งข่าว Digital Trends ได้วิเคราะห์ว่า Satya มีจุดแข็งที่จะมาตอบโจทย์การเป็นผู้นำ Microsoft ได้ดีกว่า Steve Ballmer เนื่องจาก Steve ไม่ได้มีพื้นฐานทางด้านวิศวกรรม ทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในยุคหลังๆ ของ Microsoft มีปัญหาค่อนข้างมาก ซึ่ง Satya ที่เติบโตมาทางด้านวิศวกรรมน่าจะมาปิดจุดอ่อนตรงนี้ได้อย่างดี
Satya Nadella (CEO คนที่ 3) กับ Bill Gates (ผู้ก่อตั้งและ CEO คนแรก) และ Steve Ballmer (CEO คนที่ 2)
ในวิสัยทัศน์อง Satya เอง เขาเชื่อว่าการประมวลผลหรือ computing จะมีอยู่ทั่วไปหมดมากกว่าที่เคยมีมา และสิ่งที่นับว่าเป็นความฉลาด หรือ intelligence จะกลายเป็นสิ่งที่อยู่แวดล้อมการประมวลผลเหล่านี้ การพัฒนาร่วมกันของซอฟ์ตแวร์และฮาร์ดแวร์รูปแบบใหม่ๆ จะมาเปลี่ยนให้สิ่งต่างๆ ที่เราทำมีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น ทุกอย่างจะมีความเชื่อมต่อกันมากขึ้นทั้งอุปกรณ์, ความสามารถในการประมวลผลบน cloud, ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก big data รวมไปถึงความฉลาดในการเรียนรู้ด้วยตัวเองของคอมพิวเตอร์ ซึ่งนี่คือโลกที่ถูกผลักดันโดยซอฟ์ตแวร์
สื่อใหญ่อย่าง Engadget ได้ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงภายใต้การนำของ Satya ว่า Micrsoft ได้มีการปรับเปลี่ยนการจำหน่าย Office และ Windows โดยในยุคที่ยอดขาย PC ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องนั้น Satya ได้เห็นถึงจุดนี้ จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยการเปิดตัว Office 365 และ Windows Server 2012 อย่างไรก็ดี จากแผนการผลักดันทั้งกลุ่ม Consumer และ Enterprise ที่ Steve Ballmer เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้นั้น ดูเหมือนว่า Satya จะสามารถตอบโจทย์ได้อย่างดีในฝั่งของ Enterprise เป็นหลักเท่านั้น ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่าในฝั่งของ Consumer จะมีการเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน
นอกจากนี้ สื่อ GigaOM ยังได้อ้างถึงเนื้อหาส่วนหนึ่งที่ Satya ได้ส่งถึงพนักงานของ Microsoft ที่เน้นไปยังเรื่องของอุปกรณ์พกพาว่า ก่อนหน้านี้ จุดมุ่งหมายของ Microsoft คือการเข้าถึง PC ทุกเครื่องในที่ทำงานและที่บ้าน ซึ่งบริษัทได้ประสบความสำเร็จแล้วในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในวันนี้ จุดมุ่งหมายของบริษัทคืออุปกรณ์ที่กว้างขึ้นมาก ซึ่ง Microsoft ยินดีต้อนรับ Nokia เข้ามาอยู่ในครอบครัว โดย Nokia จะมาพร้อมกับอุปกรณ์ บริการ และความสามารถทาง mobile ใหม่ๆ นอกจากนั้นโอกาสใหม่ๆ ที่รออยู่ข้างหน้าบังคับให้ Microsoft ต้อง “reimagine” หรือกลับมานึกภาพใหม่ทั้งหมดว่าอนาคตที่เน้นไปที่โลกของอุปกรณ์พกพา (mobile) และ cloud บริษัทจะทำอะไรใหม่ๆ บ้าง
ในขณะที่ Satya ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่นั้น Bill Gates ในฐานะผู้ก่อตั้ง Microsoft จะลดบทบาทตัวเองลงจากตำแหน่ง Chairman เพื่อมารับตำแหน่งที่ปรึกษาทางเทคโนโลยี (Technology Advisor) ให้กับ Satya เพื่อตอบโจทย์การผลักดันองค์กรให้เป็นองค์กรที่มุ่งเน้น “ไอทีที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (People-centric IT) โดยจะพัฒนาสินค้าและบริการที่ “ลูกค้าผู้ใช้งานได้ประสบการณ์ที่พวกเขาต้องการ” ในขณะที่ฝั่งขององค์กรเองจะได้ “การควบคุมที่พวกเขาต้องการ”
นอกจากนั้นแล้วเราคงจะได้เห็น Microsoft ที่รุกตลาดของ mobile และ cloud อย่างจริงจังมากขึ้น เพราะ Satya ได้พูดถึงกลยุทธ์ที่จะผลักดัน “mobile-first, cloud-first” ในทุกๆ สิ่งที่ Microsoft จะทำหลังจากนี้
เรียกได้ว่าทั้งโลกคงต้องจับตาดูต่อจากนี้ว่า Satya จะพลิกโฉม Microsoft ได้มากน้อยแค่ไหน
สำหรับใครที่อยากเห็นการให้สัมภาษณ์ของ CEO คนใหม่ของ Microsoft ลองติดตามได้จากคลิปด้านล่างครับ
ที่มา: Microsoft , Digital Trends , Engadget , GigaOM , CNET