สายการบินสกู๊ต เปิดตัวเครื่องบินใหม่ A321neo รองรับโอกาสการเริ่มเดินทางของประชาชนในเอเชียมากขึ้น แม้จะคาดการณ์ไม่ได้ว่าธุรกิจการบินจะฟื้นกลับมาได้จริงหรือไม่ แต่อีคอมเมิร์ซก็ช่วยจุดโอกาสในการเดินหน้าธุรกิจได้แล้ว
แคมป์เบล วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินสกู๊ต กล่าวว่า “เครื่องบินรุ่นใหม่ แอร์บัส A321neo ของสกู๊ต สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้นและทำการบินได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น เปิดโอกาสการขยายเครือข่ายการบินใหม่ๆ พร้อมยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้กับผู้โดยสารชาวไทย
ทั้งนี้ การดูแลฝูงบินให้ทันสมัยด้วยการลงทุนซื้อเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงาน เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของสกู๊ตในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือศูนย์ ภายในปี 2050 เมื่อนับรวมกับความสำเร็จในฐานะสายการบินต้นทุนต่ำรายแรกและรายเดียวของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพในระดับ Daimond Standard จาก APEX Health Safety โดย สถาบันตรวจสอบสายการบินระดับโลก SimpliFlying
ทั้งหมดนี้ ทำให้สกู๊ตมั่นใจว่าเราจะสามารถฟื้นฟูธุรกิจและกลับมาอยู่แนวหน้าของธุรกิจสายการบินราคาประหยัดในภูมิภาค เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางหลังจากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ”
จากปัญหาโควิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2019 ทำให้ตลอดปี 2020 บริษัทได้พยายามใช้มาตรการเรื่องความปลอดภัยและยุติบางเส้นทาง เพื่อลดความกังวลของผู้โดยสารเรื่องความปลอดภัย ซึ่งเราต้องสื่อสารกับลูกค้าจำนวนมากเกี่ยวกับปัญหานี้ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือและดำเนินการคืนค่าโดยสาร (refund)
แม้ต้องใช้เงินจำนวนมากแต่วิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีสุด ถึงจะต้องกระทบเรื่องสภาพคล่องแต่นักลงทุนก็เข้าใจว่าเราต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ก็ได้มีการเลื่อนการส่งมอบเครื่องบินใหม่ ลดจำนวนพนักงาน เพื่อแก้ปัญหาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
สกู๊ตได้รับการส่งมอบเครื่องบิน A321neo แล้ว จำนวน 3 ลำ (ผ่านการเช่าแบบลีสซิ่งจาก BOC Aviation) จากจำนวนทั้งหมด 16 ลำ ซึ่งประกอบด้วย 6 ลำ ที่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อเดิมจาก A320neo มาเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ และเป็นเครื่องบินเช่าอีก 10 ลำ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2020/2021 ที่ผ่านมา สกู๊ตได้ปลดประจำการเครื่องบิน A320ceo จำนวน 5 ลำ ตามแผนการปรับปรุงฝูงบิน
ดังนั้น ฝูงบินที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันของสกู๊ต ประกอบด้วย เครื่องบินแบบมีช่องทางเดินเดียว จำนวน 29 ลำ ได้แก่ A320ceo 21 ลำ A320neo 5 ลำ และ A321neo 3 ลำ นอกจากนี้ ยังมี A320neo 28 ลำ และ A321neo อีก 13 ลำ ที่กำลังรอการส่งมอบ ส่วนเครื่องบินแบบลำตัวกว้างของสกู๊ตมีจำนวน 20 ลำ เป็นเครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 787 ทั้งหมด และกำลังรอการส่งมอบเพิ่มอีก 7 ลำ โดยอายุเฉลี่ยของฝูงบินของสกู๊ตในขณะนี้อยู่ที่ 5 ปี 10 เดือน
ปัจจุบัน สกู๊ตให้บริการในเส้นทาง สิงคโปร์–กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) จำนวน 11 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สกู๊ตกำลังเตรียมการเพื่อที่จะกลับมาให้บริการอีกครั้งด้วยความปลอดภัยและมั่นใจ โดยวางแผนที่จะกลับมาให้บริการในเส้นทาง สิงคโปร์–เชียงใหม่ สิงคโปร์–หาดใหญ่ สิงคโปร์–กระบี่ และ สิงคโปร์–กรุงเทพฯ–โตเกียว เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย
โดยเที่ยวบิน TR610 ได้ออกเดินทางจากสนามบินชางงี เวลา 15.24 น. ของวันที่ 28 มิถุนายน 2564 และเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 16.39 น. ในวันเดียวกัน ตามเวลาท้องถิ่น และสำหรับเที่ยวบินขากลับ TR611 ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในเวลา 17.33 น. ของวันที่ 28 มิถุนายน 2564 และถึงจุดหมายที่สิงคโปร์ เมื่อเวลา 21.29 น. ในวันเดียวกัน ตามเวลาท้องถิ่น
และในเดือนสิงหาคม สายการบินสกู๊ตจะเริ่มให้บริการด้วยเครื่องบินแอร์บัส A321neo ในเส้นทางบินสิงคโปร์–เซบู (ฟิลิปปินส์) และสิงคโปร์–โฮจิมินห์ (เวียดนาม) ซึ่งเครื่องบิน A321neo ลำใหม่ของสกู๊ตนี้ สามารถรองรับผู้โดยสาร 236 ที่นั่ง ให้บริการในชั้นประหยัดเท่านั้น กับผังที่นั่งแบบ 3-3
อย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ ยังคงเป็นปลายทางสำคัญของทางสกู๊ตอยู่ตลอด รวมทั้งการเติบโตของอีคอมเมิร์ซทำให้คารโก้ของเราก็ความต้องการใช้งานสูงจนเป็นอีกหนึ่งโอกาสทางรายได้ในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ธุรกิจการบินยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัทในการสร้างรายได้และธุรกิจอื่นๆ เป็นธุรกิจเสริม ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าหลังโควิด-19 ผ่านไป ความต้องการเดินทางของทุกคนจะฟื้นกลับมาเช่นเดิม