Site icon Thumbsup

สยามพิวรรธน์ เตรียม 7 หมื่นล้านย้ำชัดอีก 5 ปีจะเป็นผู้นำเศรษฐกิจสร้างสรรค์มากกว่าแค่ห้างสรรพสินค้า

แม้ว่าหลายประเทศ เรื่องของการเดินห้างสรรพสินค้าของคนรุ่นใหม่จะลดลง แต่ไม่ใช่ที่ไทย ที่คนยังชอบออกมาพบปะสังสรรค์ ทำให้ “สยามพิวรรธน์” ยังคงประกาศชัดว่า ต่อจากนี้ไปอีก 5 ปี จะมองหาพื้นที่ที่เหมาะสมกับการทำธุรกิจด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่เน้นขยายจำนวนห้างให้มีปริมาณมากแบบรายอื่น

ส่วนงบ 70,000 ล้านบาทที่จะใช้ในอีก 5 ปี จะกระจายใช้งานอย่างเหมาะสมที่สุด ส่วนด้านการเมืองก็คาดหวังจะได้รัฐบาลที่สร้างความเชื่อมั่นกับระดับโลกได้ เพื่อปั้นไทยผงาดเป็นผู้นำในอาเซียน เป้าหมายของสยามพิวรรธน์น่าสนใจใช่เล่นเลยนะคะ

Thumbsup ได้เข้าร่วมงานแถลงข่าว “สยามพิวรรธน์ ประกาศจุดยืน ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy) พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย นำไทยยิ่งใหญ่บนเวทีโลก” ณ สยามเคมปินสกี้ โดยมีผู้บริหารใหญ่อย่าง นางชฎาทิพ จูตระกูลประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ได้นำเสนอข้อมูลและประกาศกลยุทธ์อย่างน่าสนใจ

สยามพิวรรธน์ ในวันนี้ก้าวข้ามการแข่งขันในประเทศ สู่การเป็นผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy) ที่จะผนึกกำลังคนไทยทุกระดับ ชูความสามารถ และต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่เป็นคนแรก และสร้างมหาปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน นำพาเกียรติยศและการยอมรับบนเวทีโลกมาสู่คนไทย และประเทศไทย

โดยวางแผนกลยุทธ์ใหม่ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ และกำหนดทิศทางการลงทุน ที่จะเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกับคนไทยทั้งประเทศ และพันธมิตรชั้นนำในต่างประเทศ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหนือชั้นเพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดแบบครบวงจร โดยตั้งเป้าว่าในอีก 5 ปีข้างหน้ารายได้กลุ่มธุรกิจ จะโตขึ้นอีก 1 – 1.5 เท่า

กลยุทธ์ 5 ปีนับจากวันนี้

ต่อจากนี้ สิ่งที่สยามพิวรรธน์จะทำในอีก 5 ปีข้างหน้าคือ มีโครงการขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบและคอนเซปต์ที่แปลกใหม่เหนือความคาดหมาย เพื่อให้ห้างสรรพสินค้าไม่ใช่แค่การเช่าพื้นที่หรือขายสินค้า แต่จะต้องขายเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ทัดเทียมกับระดับโลก รวมทั้งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเทียบกับต่างชาติได้ เหมือนอย่างที่ “One Siam” สามารถครองใจความเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้าและเป็นสถานที่ยอดนิยมระดับโลก

เมื่อปี 2561 สยามพิวรรธน์ประกาศการลงทุนร่วมกับพันธมิตรระดับโลก ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านค้าปลีกอันดับหนึ่งของโลกจากอเมริกา มีกำหนดการที่จะเปิด Luxury Premium Outlets แห่งแรกในประเทศไทยในธันวาคมปีนี้ และขยายเพิ่มไปนอกกรุงเทพฯ อีก 2 แห่ง

ในขณะเดียวกัน สยามพิวรรธน์ได้รับการติดต่อจากหลายๆ บริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศต่างๆ  ซึ่งมีความประสงค์จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและด้วยแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เป็นกลางจึงจะทำให้สยามพิวรรธน์สามารถจับมือกับทุกพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการเมืองขนาดใหญ่ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาโดยได้มองหาทำเลทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด คาดว่าจะชัดเจนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

โดยในปีนี้ สยามพิวรรธน์มีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจค้าปลีกให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งการขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบแฟรนไชส์ การร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกชั้นนำจากต่างประเทศเพื่อเปิดตัวแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์อีก 2 แบรนด์

นอกจากนี้ จะมุ่งเน้นการให้ความสนับสนุนดีไซน์เนอร์ไทยและผู้ประกอบการ SME ไทยให้พัฒนาบน platform การจัดจำหน่ายสินค้าที่สยามพิวรรธน์บริหารอย่างครบวงจร เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยๆ ที่มีต้นทุนต่ำ ได้ใช้ประโยชน์จากศูนย์กลางข้อมูลของสยามพิวรรธน์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

ลงทุนธุรกิจใหม่

บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าในการขยายธุรกิจภายใต้บริษัทลูกอีก 4 – 5 บริษัทใหญ่ อาทิ การจัดตั้งบริษัท สยามอัลไลแอนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ต่อยอดความเชี่ยวชาญจากการบริหาร Royal Paragon Hall เพื่อรับบริหารจัดการศูนย์การประชุมและศูนย์แสดงนิทรรศการใหม่ๆ อาทิ TRUE ICON HALL และลงทุนในการสร้างศูนย์ประชุมสำหรับการจัดงานต่างๆ รวมถึงการการจัดแสดงคอนเสิร์ตในทำเลใหม่

การเดินหน้าให้บริการกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดอย่างครบวงจรของบริษัท ซูพรีโม่ จำกัด ที่สร้างประสบการณ์ระดับโลกเหนือความคาดหมายมาแล้วมากมาย อาทิ การจัดงาน Amazing Thailand Countdown ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจให้คำปรึกษาและบริการเกี่ยวกับการจัดการอาคารของบริษัท สยามโปรเฟสชั่นแนล แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งได้ให้บริการแก่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาแล้วหลายราย ซึ่งบริษัทในเครือเหล่านี้ จะเดินหน้าให้บริการทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

ลงทุนด้านเทคโนโลยี

การทำงานที่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของลูกค้าเป็นหลัก (Customer Centric) สยามพิวรรธน์ มีความมุ่งมั่นที่จะนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดมาพัฒนาระบบการทำงาน

ตั้งแต่การศึกษาความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการออกแบบการสร้างประสบการณ์ (customer journey) การให้บริการและการส่งเสริมการขายให้ตรงความต้องการของลูกค้าในแต่ละบุคคลมากที่สุด

ในปีนี้ สยามพิวรรธน์จะเปิดตัวระบบสารสนเทศทางการตลาด (Marketing Intelligence System) ที่ได้พัฒนามานานกว่า 5 ปีด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท พร้อมใช้อย่างเต็มรูปแบบแล้วในปีนี้

โดย อาจารย์สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ และผศ.ดร.พีรพล เวทีกูล อาจารย์ประจำ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

สำหรับการพัฒนาระบบครั้งนี้ สยามพิวรรธน์ ได้ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่จาก 4 ศูนย์การค้าที่เป็นเจ้าของ ซึ่งมีจำนวนผู้มาเยือนสูงที่สุด ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อให้ตอบรับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งยังได้ปรับระบบโครงสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี  (IT Infrastructure) และการบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) ทั้งหมด โดยระบบจะแบ่งเป็น 2 ส่วน    

(1.) ในส่วน Front-end สยามพิวรรธน์ได้มีการทำ Location awareness และ Member awareness ผ่านระบบ Mobile Application รวม ศูนย์ข้อมูลการตลาดโดยทำ Web Centralization และพัฒนา Electronic Digital Marketing (EDM) เพื่อเข้าถึงลูกค้าผ่านทางช่องทางบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างๆได้ดียิ่งขึ้น

(2.) ในส่วน Back-end สยามพิวรรธน์ได้พัฒนาระบบ Data Infrastructure เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าในหลายมิติ และใช้ Advanced data analytics ในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล เพื่อนำไปต่อยอดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดได้ตรงใจลูกค้าและได้ผลตอบแทนมากที่สุด

นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์จะขยายช่องทางค้าปลีกไปยังตลาดออนไลน์ ผ่านทางอีคอมเมิร์ซ และ เอสคอมเมิร์ซ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถมาถึงสถานที่ของเราได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าต่างจังหวัดและต่างประเทศ เกิดความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบัน

ผลักดันคนให้แข็งแรง

นอกจากนี้ โครงการสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (Siam Piwat Academy) ซึ่งคือหลักสูตรการบริหารจัดการ ที่นำองค์ความรู้ในการบริหารศูนย์การค้าและการค้าปลีกของสยามพิวรรธน์ที่สั่งสมมากว่า 60  ปีมาถ่ายทอดให้กับสังคม

โดยใน 3 ปีที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ได้ทำงานร่วมกับสถาบันชั้นนำของประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการสอนเกี่ยวกับ Sustainable Shopping Mall Management ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี 

และมีการขยายความร่วมมือไปยังสถาบันชั้นนำอื่นๆ อาทิ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ในปีต่อไปนี้สยามพิวรรธน์จะเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ มีความชำนาญที่หลากหลาย (Multi Skills) ที่สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้า และเข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิตอล 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะปรับโครงการสร้างองค์กรด้วยการสร้าง Center of Excellence หรือ การสร้างหน่วยงานกลางที่รวมเอาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในสาขาต่างๆ ขึ้นเป็นหน่วยงานส่วนกลางเพื่อกำกับดูแล และให้การสนับสนุนบริษัทลูกในเครือทั้งหมด

รวมทั้งยังมีแผนการปรับกระบวนการทำงานโดยนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มีผลิตภาพมากขึ้น อาทิ การใช้ Chatbot, Robotic, AI ทำให้องค์กรมีความคล่องตัว (Agile organization)  สามารถปรับตัวได้เร็วตอบสนองความต้องการและการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

“การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาช่วยชี้วัดความสามารถของคน จะทำให้พนักงานทำงานได้แบบ Multitasking รวมทั้งสร้างโอกาสต่อยอดในการทำงานสำหรับอนาคตด้วย”

โดยหลายปีที่ผ่านมามีการจ้างงานกว่า 200,000 ตำแหน่งและมีพนักงานทั้งหมดรวมกันกว่า 2,500 คน

โอกาสของประเทศไทยหลังเลือกตั้ง

แน่นอนว่าการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้จะโอกาสของประเทศ ซึ่งประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่กำลังร้อนแรงและอยู่ในประเทศที่มีโอกาสพัฒนาสูง รวมทั้งสามารถกระจายโอกาสออกไปสู่พื้นที่ต่างๆ ได้ เพราะไทยมี quality of living ที่ดี

นอกจากนี้ ต้นทุนในการอยู่อาศัยยังต่ำกว่าประเทศอื่นๆ หากหลังการเลือกตั้งประเทศสงบเรียบร้อย ก็น่าจะช่วยให้ต่างชาติมั่นใจ และกล้าเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น รวมทั้งหากมีมาตรการเรื่อง tax planning ชัดเจน ไทยก็ยิ่งมีโอกาสโตสูง ต้องรอดูโอกาสที่จะพลิกฟื้นประเทศใน 3 ปีนี้เท่านั้น

คุณชฏาทิพ ยังกล่าวติดตลกด้วยว่า ไม่ว่าจะเลือกใครมาเป็นรัฐบาล ก็ขอให้เลือกคนที่จะช่วยให้ประเทศร่มเย็น เป็นสุข รู้จักฉกฉวยโอกาสจากอาเซียนในการเป็นผู้นำ เพราะไทยมีทั้งเศรษฐกิจและทรัพยากรที่ดีมาก คณะรัฐบาลใหม่จะต้องออกกฏหมายที่ทันสมัย ดึงดูดให้ต่างประเทศอยากเข้ามาลงทุนและทำให้พวกเขาอยากย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่

ไทยเป็นประเทศที่ miracle มาก มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น แต่เราสามารถก้าวผ่านจุดนั้นมาไกลกว่านั้นเยอะ อาจเพราะผู้ประกอบการและภาคเอกชน สู้ไม่ถอย ลงทุนไม่หยุด ถือว่าเรามีฐานที่ดี มีเอกชนเป็นฐานการลงทุน มีเกษตรกรรมเป็นฐานด้านทรัพยกร

หากคนที่เข้ามาเป็นผู้นำประเทศ สามารถปรับใช้โอกาสและสร้างความเท่าเทียมได้ ส่วนตัวอยากให้เป็นรัฐบาลที่ชนะใจคนทั้งโลก สร้างความเชื่อมั่นและใช้เป็นศูนย์กลางร่วมกับประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่ยาก เพราะเราเป็นจุดมุ่งหมายอยู่แล้ว ต้องสร้างdestination ให้คนอยากมาอยู่

รายได้ยังเป็นไปตามเป้า

ทางด้านภาพรวมการเข้ามาใช้งาน Iconsiam ยังคงเป็นไปตามเป้าคือเฉลี่ยคือ 1.2-1.5 แสนคน/วัน ถือว่าเป็นย่านกลุ่มคนที่มีศักยภาพ เพราะ 80% ของคนที่เข้ามาใช้บริการเป็นคนไทย ทั้งยังสร้างยอดขายที่ดี จากนั้นค่อยเป็นคนกลุ่มพื้นที่อื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ว่าคนไทยไม่มีเงิน เพราะพวกเขายังมาใช้สอย และสร้างยอดขายให้ร้านค้าเพิ่มขึ้น 50% เลย โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าหน้าใหม่ทั้งสิ้น

ด้านภาพรวมลูกค้าของทุกห้าง 70% ยังเป็นคนไทย แม้ว่าช่วงตุลาคมยอดคนจะลดลงแต่ภาพรวมทั้งปียังถือว่าสูงมาก

ทางด้านของเงินทุนที่จะใช้งานในตลอด 5 ปีนั้น มีมูลค่า 70,000 ล้านบาท กว่า 80% เป็นเรื่องของการพัฒนาโครงการ ตามมาด้วยการขยายแฟรนไชส์ 40-50 ล้านบาท ส่วนธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเข้าไปลงทุนอยู่ที่หลักพันล้านบาทรวมทั้งยังประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะไม่ทำ duty free

ในมุมของผลประกอบการของสยามพิวรรธน์นั้น ในปี 2018 โตขึ้นกว่าปี 2017 ถึง 23% มูลค่า 25,500 ล้านบาท คาดว่าในปี 2019 จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 12-15% ส่วนไอคอนสยาม เพิ่งเปิดใหม่ยังไม่ได้นับรวมเม็ดเงินลงในกลุ่มแต่ก็คาดว่าในปี 2019 นี้จะทำรายได้เพิ่มขึ้น 42% และคาดว่ารายได้รวมทั้งกรุ๊ปในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวหรือแตะ 50,000 ล้านบาทได้ไม่ยาก