สิงคโปร์กำลังจะกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ใช้ระบบยืนยันตัวตนผ่านใบหน้า (facial verification)ในการระบุตัวตนแทนบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งสามารถเข้าถึงบริการได้ทั้งภาครัฐและเอกชน
โดยรัฐบาลสิงคโปร์ตั้งเป้าว่าการยืนยันตัวตนผ่านใบหน้าจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มระบบภายในปี 2565 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล (digital economy)
ความแตกต่างของระบบยืนยันตัวตนกับจดจำใบหน้า
แม้ว่าเทคโนโลยีระบบจดจำใบหน้า (facial recognition) ถูกใช้อย่างแพร่หลาย อาทิ Apple Face ID, การปลดล็อกด้วยใบหน้าของ Google และการชำระเงินด้วยใบหน้าในจีน
แต่ระบบยืนยันตัวตนผ่านใบหน้านั้นจะแตกต่างออกไป เพราะสามารถสแกนใบหน้าได้ทุกคนในสถานที่นั้นๆ เช่น สถานีรถไฟหรือสถานที่ราชการ และสามารถแจ้งเตือนได้เมื่อเจออาญชากร
“นี่คือครั้งแรกที่ระบบยืนยันตัวตนผ่านใบหน้าจะถูกนำไปใช้ในระบบราชการ” Andrew Bud ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร iProov บริษัทเทคโนโลยีที่ดูแลระบบให้กับสิงคโปร์กล่าว
ล่าสุดระบบยืนยันตัวตนผ่านใบหน้าถูกนำมาใช้ในสำนักงานสรรพากรและธนาคารเอกชนบางแห่งในสิงคโปร์แล้ว
Kwok Quek Sin ผู้อำนวยการอาวุโสของ GovTech Singapore ระบุว่า “เราไม่จำกัดว่าระบบยืนยันตัวตนผ่านใบหน้าจะถูกใช้งานในรูปแบบไหน ตราบใดที่เป็นไปตามข้อกำหนดของเราและได้รับความยินยอมของตัวบุคคล”
หลายฝ่ายเชื่อว่า เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นเรื่องดีเพราะภาคเอกชนไม่จำเป็นต้องลงทุนทำระบบขึ้นมาเอง รวมถึงความปลอดภัยของข้อมูลที่จะถูกเก็บโดยภาครัฐ