เมื่อวันอังคารที่ 11 มค. บริษัทแสนสิริได้จัดงาน #sansirisocialcommerce ที่จับมือร่วมกับ Ensogo ในการมอบดีลพิเศษให้กับลูกค้าแสนสิริ ซึ่งมีคนในแวดวงออนไลน์หลายท่านให้ความสนใจมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เลยว่าจะนำเอาเรื่องที่ไปเป็น Guest Speaker มาแบ่งปันกันพร้อมบทสรุปมาในหัวข้อที่ชื่อว่า “Social Commerce is the NEXT BIG THING”
Social commerce is the next big thing
View more presentations from thumbsup TH.
[Slide 1,2] คำว่า “Social Commerce” จริงๆที่ต่างประเทศนั้นได้ถูกพูดถึงกันมาสักพักแล้ว แต่ดูจะมาโด่งดังเมื่อกรณีของ Groupon นั้นเติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมาและเชื่อว่าจะเป็น BigTrend ของปี 2011
ด้วย Social Technology เราคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ามันมีคุณสมบัติโดดเด่นแค่ไหนในการที่ใช้รับฟังเสียงผู้บริโภค เชื่อมต่อผู้คนเข้าหากัน สร้างสายสัมพันธ์และการมีส่วนรวมซึ่งจะช่วยพัฒนาประสบการณ์ใหม่ๆในการ Shopping ได้
Social Commerce คือการผสมผสานระหว่าง E-Commerce และ Social Networks เข้าด้วยกัน มีคำนิยามที่น่าสนใจว่า “Helping people connect where they buy, and buy where they?connect” ที่ไหน(ระบบ E-commerce) ที่ลูกค้าซื้อของอยู่แล้วควรจะเพิ่ม social function เข้าไป ในขณะเดียวกันบริการด้าน Social Network ก็สามารถที่จะเพิ่ม function ให้ลูกค้าสามารถซื้อของได้โดยตรงเช่นกันซึ่งเห็นได้ชัดคือ Facebook Storefront
[Slide 3] รูปแบบของ Social Commerce ที่น่าสนใจและสรุปแบบคร่าวๆไว้ดังนี้
– Group Buying อย่าง Groupon
– Facebook Social Plugin อย่าง Levi เป็นเว็บไซต์ที่ใช้ Plugin เพื่อเชื่อมต่อกับฐานสมาชิกของ Facebook
– Facebook Shop หรือที่หลายๆคนเรียกว่า Storefront เปิดร้านค้าบน Facebook เสียเลย
– Shopping recommendation/Discovery Service พลังของ Social สามารถช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการ Shopping ให้ดูน่าสนใจมากขึ้นทั้งในเรื่องของการค้นหาและการแสดงความคิดเห็นต่างๆ
[Slide 4] Social Commerce ปีนี้จะมาแรงแค่ไหนนั้น นิตยสารชั้นนำอย่าง Wired (UK) ในเดือนหน้าได้หยิบยกเรื่องของ Social Commerce ขึ้นมาเป็น Cover Story และยกประเด็นขึ้นมาไว้อย่างชัดเจนว่า แบรนด์ใหญ่ๆต้องการที่จะสร้างรายได้จากบรรดากลุ่มเพื่อนๆของเราบน Facebook และ อีกประเด็นคือ ยุคแห่ง Social Commerce ได้มาถึงและจะแทนที่ E-Commerce แล้ว
[Slide 5] มีสถิติที่น่าสนใจคือกว่า 90% ของการซื้อขายได้รับอิทธิพลมาจาก Social ซึ่งถือเป็น scale ของตลาดที่ใหญ่มาก ? เดิมทีนั้น Social สามารถโน้มน้าวและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการซื้อแต่ Social Commerce จะยิ่งทำให้สิ่งต่างๆเหล่านั้นสามารถวัดผลได้!
[Slide 6] มาดูสถิติของ Facebook กันสักหน่อย ปัจจุบัน Facebook มีสมาชิกกว่า 500 ล้านรายและมากกว่าครึ่งใช้ Facebook มากกว่าเว็บไซต์อื่นๆ และ 44% ของการ sharing ทั้งหมดนั้นเกิดจากสังคมใน Facebook
[Slide 7] และแม้แต่ผู้ก่อตั้ง Facebook Mark Zuckerberg ยังคาดการณ์อีกว่า Social Commerce จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ
ฟังดูแล้ว “Social Commerce is the NEXT BIG THING” แล้วหรือยังเอ่ย ^^
[Slide 8] จากเดิมที่เราอาจมีหน้าร้านอยู่เป็นของตัวเอง ลองนึกว่าถ้าเราสามารถเปิดร้านค้าบนที่ที่ลูกค้าเราอยู่มันจะน่าสนใจขนาดไหน นี่คือโอกาสใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น จากเดิมที่จะคิดว่าทำอย่างไรที่จะให้ลูกค้าเราสามารถหาสินค้าเราได้ ตอนนี้คงต้องถามใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าของเราเข้าไปหาลูกค้าในที่ที่เค้าอยู่แทน
หมายเหตุ : สำหรับ slide นี้จะขอเน้นไปยัง 2 ประเภทหลังเป็นหลัก ในขณะที่วิทยากรท่านอื่นได้เน้นในส่วนของ Group Buying แทน
[Slide 10] F-Commerce มาจาก Facebook-Commerce ที่สามารถสร้างธุรกิจบน Platform ระดับโลกอย่าง Facebook ได้ โดยไม่ต้องเสียโอกาสกับการที่เมื่อดูข้อมูลจาก Facebook Page แล้วก็สามารถตัดสินใจซื้อของได้จากที่นี่เลย (จะเป็นแบบระบบการซื้อขายขนาดย่อมๆบน Facebook หรือจะใช้ระบบ Commerce ของตนเองที่มีอยู่แล้วโดย link จาก Facebook ออกไปด้วย User?Experience ที่กลมกลืนกัน) การที่ต้องให้ลูกค้าคอยออกไปเปิดหน้าเว็บไซด์อื่นเองเพื่อทำการซื้อของนั้นอาจทำให้สูญเสียโอกาสในการขายไปได้อย่างไม่รู้ตัว
[Slide 11] กรณีศึกษา P&G กับแบรนด์ Pampers โดย Outsource งานด้านระบบ Payment และ Logistic ไปให้กับ Amazon Webstore และนำมาไว้บน Facebook
[Slide 12] กรณีศึกษา TOY Story3 ที่เปิดระบบการจองตั๋วหนังกันเป็นกลุ่มกับ group-ticketing store สามารถที่จะตรวจสอบรอบของการฉายได้บน Facebook เลยทีเดียว
[Slide 13,14,15] เป็นกรณีศึกษาของการขายการ์ดอวยพรอย่าง Hallmark, ขายดอกไม้ 1-800 flowers.com, ขายตั๋วเครื่องบินรายแรกๆบน Facebook กับ DELTA Airline ซึ่งทั้ง 3 รายนี้ใช้บริการจากผู้พัฒนา app เพื่อเชื่อมต่อกับ Facebook อย่าง Alvenda
[Slide 16] และไม่ใช่มีแต่แบรนด์ใหญ่ที่สามารถทำได้ อันที่จริงแล้วไม่ว่าธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อมก็สามารถเปิดร้านค้าได้เช่นกัน แต่แน่นอนว่าเรื่องของ Look & Feel ต่างๆอาจไม่สวยงามเท่ากับกรณีแบรนด์ใหญ่ที่ลงทุนในการปรับ Theme
[Slide 17] หลายคนอาจสงสัยว่าจะเริ่มต้นได้อย่างไร อันที่จริงแล้วมีผู้พัฒนา app เพื่อเชื่อมต่อกับ Facebook มากมาย ทั้งแบบฟรีอย่าง Payvment (ซึ่ง claim ว่าโดยเฉลี่ยมีผู้มาเปิดร้าน ~ 250ราย/วัน) หรือแบบ Premium Service อย่าง Alvenda ไปเลย เป็นต้น
[Slide 18-20] ในส่วนถัดไป Shopping Recommendation/Discovery Service ได้มีการแนะนำเว็บไซต์ BOUTIQUES.com ซึ่งพัฒนาโดย Google และเคยเขียนบทความด้านนี้ไปแล้วสามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่