Starbucks ได้ฤกษ์เปิดสาขาที่ 334 ซึ่งเป็นสาขาที่มีการปรับปรุงใหม่ใหญ่สุดในจำนวนสาขาทั้งหมด บนพื้นที่ 760 ตารางเมตร รองรับลูกค้าได้ 230 ที่นั่ง พร้อมห้องเอนกประสงค์ขนาดใหญ่ 2 ห้อง รองรับทั้งการเข้ามาใช้งานแบบบุคคลทั่วไปและการจัดงานเลี้ยงสำหรับแบบกลุ่ม
ทำความรู้จักสาขาใหม่
ข้อมูลจาก สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) เกี่ยวกับสาขานี้ คือ เป็นสาขาใหม่ล่าสุดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จากทั้งหมด 335 สาขา ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ล ภายในร้านจะมีการเสิร์ฟแบบ Starbucks Reserve™ Bar ที่ใหญ่ที่สุดและ เคาน์เตอร์ Starbucks® DRAFT ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มเย็นผสานไนโตรเจนเป็นครั้งแรกในเอเชีย รวมทั้งเมนูกาแฟที่หายากจากทั่วทุกมุมโลก มีเครื่องชงแบบต่างๆ เช่น Siphon, Chemex และ Pour-Over
นอกจากนี้ ยังมีความพิเศษของ สตาร์บัคส์ ดราฟท์ คือ การผสานเครื่องดื่มด้วยไนโตรเจน ที่เสิร์ฟตรงจากแท็ป มีให้เลือก 4 แบบ คือ Starbucks Cold Brew and nitrogen-infused Starbucks Cold Brew, tea and milk ให้ลูกค้าได้เลือกสรรตามต้องการ ทุกเครื่องดื่มที่เสิร์
ส่วนเมนูยอดฮิตของลูกค้าชาวไทย ที่ยังขายดีต่อเนื่องจำนวน 5 เมนู ได้แก่ Green Tea, Nitro, Cold Brew, Peach Tea และ Caramel Macchiato
แนวทางการตลาด
ทางผู้บริหารได้เล่าถึงแนวทางการทำตลาดให้ฟังว่า ในภาพรวมปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ จะเห็นการทำโปรโมชั่นเยอะมาก ทั้งเล่นเกม แจกส่วนลด ถือว่าจะช่วยดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ เข้ามาใช้บริการให้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาบาลานซ์ให้ดี
“เพราะสตาร์บัคส์เป็นกาแฟพรีเมียม การดึงให้ลูกค้าใหม่เข้ามาในร้านคือการจัดแคมเปญต่างๆ เพื่อให้พวกเขาลองได้ชิม แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องรักษาฐานลูกค้าเก่าให้ดีเช่นกัน ซึ่งสตาร์บัคส์มีจำนวนลูกค้าสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 20% ต่อเนื่องทุกปี เรียกได้ว่ากลยุทธ์ที่เราทำมา เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับลูกค้าชาวไทยแล้ว”
เรื่องของเทรนด์การดื่มกาแฟนั้น หากเป็นรูปแบบเดิมก็จะมีคล้ายกันกับทุกแบรนด์ บริษัทจึงเพิ่มนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มเมนูและรสชาติที่เหมาะสมกับลูกค้าทุกกลุ่ม เพราะในแต่ละสาขาที่มีลูกค้าเข้าใช้งานไม่ได้จำกัดแค่คนวัยทำงานที่ดื่มกาแฟอีกแล้ว มีการเปิดกว้างทั้งเด็กมัธยมที่ชอบดื่มชา นักศึกษา วัยทำงานไปจนถึงผู้สูงวัยที่เดินเข้ามาใช้งานแต่ละสาขาของเรามากขึ้น ซึ่งลูกค้าก็เปิดกว้างและให้ความสนใจในกลุ่มเมนูสินค้าใหม่ที่ทำออกมาทุกครั้ง ถือว่าเป็นการเปิดกว้างในเมนูทางเลือกใหม่ๆ ที่มีมากขึ้น
มั่นใจเป็น Third Place ที่แข็งแรง
Starbucks ยังคงเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ของกาแฟพรีเมียมและพักผ่อนยามต้องการนึกหาสถานที่พักผ่อน แม้ว่าจะมีธุรกิจ C0-working Space เปิดบริการมากขึ้น แต่ Starbucks ยังคงยืนยันว่าเราเป็น Third Place ให้ลูกค้า แม้จะเข้ามานั่งในร้านแบบไม่ได้สั่งกาแฟก็ยังได้ โดยสาขาต่างๆ ในไทยได้ยึดหลักคิดนี้มาโดยตลอด ไม่ใช่เพิ่งตามกระแสท่ีประกาศออกมาของสำนักงานใหญ่
“Starbucks เปิดกว้างและยินดีต้อนรับลูกค้าทุกท่านที่อาจจะเข้ามานั่งพักก่อนสั่ง สั่งน้อยกว่าจำนวนคนนั่ง เข้ามาเพื่อนั่งรอเพื่อนหรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าเกิดปัญหาที่สาขาสำนักงานใหญ่แล้วเรามาเกาะกระแส แต่เรามีการอบรมพนักงานแบบนี้มาโดยตลอด และลูกค้าทุกท่านที่เข้ามาก็ให้เกียรติสั่งเมนูทุกครั้งที่เข้ามานั่งในร้าน ซึ่งทางเราก็ไม่ได้จำกัดปริมาณการสั่งเมนูมากหรือน้อยในการเข้ามา เพียงแค่หากเกิดกรณีว่ามีลูกค้าในร้านเต็ม อาจจะขอความร่วมมือให้สละที่นั่งแบ่งปันแก่คนอื่นบ้าง แต่ก็ไม่ได้เลือกว่าจะต้องเป็นลูกค้าที่ไม่สั่งเท่านั้น ทุกอย่างอยู่ที่วิจารณญาณของพนักงานและลูกค้าทั้งสิ้น ซึ่งลูกค้าที่ไม่ได้ที่นั่งก็จะเลือกซื้อกลับบ้านหรือนั่งทานสาขาอื่น ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาขัดแย้งอย่างกรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ”
นอกจากนี้ พาร์ทเนอร์ของเมนูขนมและอาหารที่จะได้นำเข้ามาจำหน่ายภายในร้าน โดยสาขานี้จะมีเป็นอาหารประเภทแซนวิช ราคาเริ่มต้นที่ 245 บาท และเมนูโทสต์จาก After You เริ่มต้นที่ 185-245 บาท ให้ได้ลิ้มลอง ซึ่งการดึงเมนูจากพาร์ทเนอร์เข้ามาเสริมนั้น น่าจะช่วยเพิ่มโอกาสและสีสันในการรับประทานในร้านได้นานขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม การที่ Starbucks ยังคงเลือกที่จะเปิดสาขาใหม่ๆ ในทุกพื้นที่ที่มีการใช้งานของลูกค้านั้น ทางผู้บริหารหญิงคนแรกของไทยก็ยืนยันว่าไม่ได้คิดว่าเป็นต้นทุน แต่มองว่าเป็นการส่งมอบประสบการณ์ในการลิ้มลองกาแฟ พร้อมทั้งยืนยันว่า Starbucks เป็นผู้นำในธุรกิจร้านกาแฟแน่นอน แม้จะไม่สามารถบอก Market Share ของธุรกิจได้ก็ตาม