เมื่อไม่นานมานี้เราได้รับข่าวจาก Startup ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในเมืองไทยกว่า 10 ปี Shinsuke Wakai เจ้าของเว็บฯ Cosmenet หนึ่งในเว็บไซต์รีวิวเครื่่องสำอาง ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้ในไทยกว่า 250,000 คน ล่าสุดพึ่งได้ทราบข่าวดีจากเขากับการเปิดตัว Starup แห่งใหม่อีกที่คือ BuzzCommerce (ได้รับการสนับสนุนจาก East Ventures) เมื่อมีโอกาสก็อดไม่ได้ที่จะไปพูดคุยกับเขากัน
thumbsup: ช่วยเล่าสั้นๆ เกี่ยวกับประวัติคุณหน่อย และที่มาที่ไปทำไมถึงมาทำธุรกิจในไทย?
Shinsuke: เมื่อปี 2001 ผมจบจาก Colorado States University ที่สหรัฐอเมริกา ในสาขา Web Engineering หลังจากนั้นย้ายมาเริ่มธุรกิจกับเพื่อนที่เมืองไทยเป็น English Learning Franchise System ให้กับ Wallstreet English ในกรุงเทพ และเนื่องจากระบบนี้โฟกัสที่ตลาดการศึกษาไทย ผมจึงอยากเรียนรู้ภาษาไทย วัฒนธรรมไทย ตลอดจนลักษณะของธุรกิจไทยให้มากขึ้น ดังนั้นผมจึงเรียน MBA ที่เอแบคต่อเพิ่มเติม
หลังจากนั้นที่ธุรกิจประสบความสำเร็จก็ขายให้กับกลุ่มทุนของสหรัฐฯ ไป ผมจึงมาเริ่มธุรกิจ Startup ของตัวเอง เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการรีวิวเครื่องสำอางผ่านสื่อมีเดีย หรือที่รู้จักกันในนาม Cosmenet โดยตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เราได้สร้างกระแสและความนิยมต่างๆ มากมายของสกินแคร์และเมคอัพในไทย ซึ่งผมรู้สึกว่าลูกค้าตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงกลางของเรา ต้องการระบบอีคอมเมิร์ซที่ดี สามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคไทยค้นพบผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่ยังไม่เคยได้ลองใช้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงรวบรวมและพัฒนา BuzzCommerce ให้เป็น One-stop อีคอมเมิร์ซสำหรับอุตสาหกรรมความงามขึ้นมาต่อ
ผมพบว่าหญิงไทยค่อนข้างให้ความสำคัญกับความงาม และผมยังมีคอนเนคชั่นกับแบรนด์ความงามจากญี่ปุ่นจำนวนมาก มีไอเท็มสินค้าและเทคโนโลยีด้านความงามอีกจำนวนมหาศาล ดังนั้นผมจึงมองเห็นโอกาสที่นี่ และตัดสินใจที่จะเป็นสะพานเชื่อมตลาดความงามระหว่างญี่ปุ่นกับไทย
thumbsup: อะไรคือจุดขายของ BuzzCommerce และความแตกต่างจากคนอื่น
Shinsuke: BuzzCommerce เป็นบริการรวมข้อเสนอโปรโมชั่นแบบบอกต่อและจัดหาซื้อขายแบรนด์เครื่องสำอางต่างๆ ผ่านอีคอมเมิร์ซที่สะดวกและรวดเร็ว จุดเด่นคือ เราโฟกัสที่คุณภาพของสินค้าที่ยังไม่มีใครเคยใช้ในไทยมาก่อน และจากประสบการณ์ทางการตลาดเครื่องสำอางที่ผมได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับแบรนด์เครื่องสำอางทั้งภายในและภายนอกประเทศไทย รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน เราต้องการที่จะสนับสนุนผลิตภัณฑ์คุณภาพเหล่านี้ให้เป็นที่นิยมและขายดียิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศเหล่านี้เป็นหนึ่งในจุดแข็งของเราที่ผู้เล่นอื่นๆ ไม่สามารถคัดลอก เนื่องจากอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์อันยาวนานกับแบรนด์และผู้ผลิต นอกจากนี้ เรายังวางแผนแนะนำสินค้าใหม่ที่ไม่ซ้ำกันสำหรับผู้หญิงไทยในทุกๆ วัน
thumbsup: ช่วยแชร์โครงสร้างธุรกิจ การหารายได้
Shinsuke: ในขณะนี้ เรามุ่งเน้นพัฒนาระบบที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ เราได้คัดสรรรวบรวมแพลตฟอร์มใหม่ในแบบเบต้าแล้ว Saroop และกำลังจัดทำในรูปแบบ Mobile e-commerce สำหรับเปิดตัวในอีกสองเดือนข้างหน้า ตอนนี้มีผู้เล่นรายใหญ่ในวงการอยู่หลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Lazada, Zalora และ Rakuten ดังนั้นเราต้องทำการศึกษาอย่างรอบคอบ และวางตำแหน่งแบรนด์ตัวเองให้ดี เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและซัพพลายเออร์ของเราอย่างสูงสุด
คนไทยรักในการจับจ่ายซื้อของนอกบ้าน แม้ว่าจะมีจำนวนที่ซื้อผ่านออนไลน์น้อยกว่าคนญี่ปุ่น เราจึงมุ่งเน้นที่ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสิ่งแรก ส่วนการสร้างรายได้เป็นเหตุผลรองลงมา
thumbsup: BuzzCommerce กับ Cosmenet มีความเกี่ยวพันกันอย่างไรบ้าง
Shinsuke: ผมเป็นผู้ก่อตั้งทั้ง 2 บริษัท โดย Cosmenet เป็นการรวมรีวิวเครื่องสำอางผ่านสื่อมีเดียเพื่อช่วยโปรโมตสินค้าอีกทางหนึ่ง ประสิทธิภาพการทำงานของมีเดียเรานั้นดีมาก โชคดีที่ผมมีผู้ร่วมงานชาวไทยที่สามารถทำงาน Cosmenet ได้ดี ผมจึงมุ่งเน้นไปที่ BuzzCommerce ได้อย่างเต็มตัว
BuzzCommerce และ Cosmenet กำลังทำงานร่วมกันเพื่อเสนอบริการที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้และลูกค้าของเราในอุตสาหกรรมความงาม
thumbsup: คุณจะขยายธุรกิจไปยังเมืองไหนต่อ หลังจากในไทย
Shinsuke: ถัดไปจะเป็นจาการ์ตา อินโดนีเซีย โดยมี East Ventures พาร์ทเนอร์ของเราที่มีระบบการเชื่อมต่อและความหลากหลายของทรัพยากรที่ดี BuzzCommerce และ East Ventures จะทำงานร่วมกันเพื่อเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียนต่อไป
thumbsup: เนื่องจากคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้ คิดว่าเทรนด์ถัดไปของสินค้าด้านความงามในตลาดเมืองไทยคืออะไร
Shinsuke: ตลาดไทยค่อนข้างให้ความสำคัญกับเทรนด์ความงาม การขายสินค้าได้เป็นจำนวนมากในวันนี้ ไม่ได้หมายถึงปีหน้าจะขายดีด้วย ผมมาเมืองไทยครั้งแรกเมื่อ 13 ปีก่อน ที่เครื่องสำอางจากญี่ปุ่นกำลังบูม แต่แล้วเทรนด์ได้กลับกลายเป็นเกาหลี แม้ว่าแบรนด์ทางฝั่งยุโรปจะเคยขายดีมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม ผมจะบอกว่าไม่มีใครทราบได้ว่าอะไรจะบูมในไทย แต่โดนส่วนตัว ผมว่าเครื่องสำอาง “ราคาถูก” จากญี่ปุ่นเป็นที่น่าจับตามอง เพราะภาษีนำเข้าของสินค้าทางด้านความงามจากญี่ปุ่นจะลดเป็น 0 % ในอนาคต ดังนั้นผู้คนสามารถซื้อสินค้าราคาไม่แพงจากญี่ปุ่นผ่านการคลิ๊กเดียวบนสมาร์ทโฟน ซึ่งเราจะเป็นหนึ่งในการให้บริการนี้ครับ