เรื่องของการลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อคนรุ่นใหม่พร้อมที่จะใช้เงินลงทุนไปกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าสนใจมากมายทั่วโลก วันนี้ thumbsup ได้รับเกียรติสัมภาษณ์ คุณทิม ยศกร นิรันดร์วิชย, CFA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เกี่ยวกับแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลกอย่าง StashAway ที่เปิดให้บริการในไทยอย่างเป็นทางการ
พร้อมกับจุดเด่นของบริการคือเงินลงทุนเริ่มต้นที่หลักร้อย ค่าธรรมเนียมแบบ All-Inclusive เพียง 0.2-0.8% ต่อปี และรองรับภาษาไทยเพื่อเปิดกว้างในกับนักลงทุนที่ไม่เชี่ยวชาญด้านภาษาสามารถใช้บริการได้ครบทุกฟีเจอร์ไปพร้อมกับนักลงทุนทั่วโลก
ทำความรู้จักบริการของ StashAway
คุณทิม ยศกร : StashAway เป็นแพลตฟอร์มบริหารการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกผ่าน ETF นะครับ เราใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการพอร์ตทั้งหมด แล้วก็ยึดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจไม่ให้อารมณ์มาเกี่ยวข้อง เราต้องการทำให้การลงทุนต่างประเทศเป็นเรื่องที่ง่าย ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
ปัจจุบัน StashAway เปิดให้บริการในทั้งหมด 5 ประเทศ เริ่มที่ประเทศสิงคโปร์ ขยายไปที่ประเทศมาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกงและปัจจุบันแล้วก็เปิดให้บริการในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ เราได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนมากกว่า 170 ประเทศทั่วโลกและในประเทศไทยเราได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคลจากสำนักงานกลต. และก็มีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้รับฝากทรัพย์สินนะครับ
เราตั้งใจที่จะเข้ามาช่วยคนไทยให้สามารถลงทุนต่างประเทศได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงครับ
ทำไมถึงเลือกเข้ามาเปิดให้บริการในไทย
คุณทิม ยศกร : เราเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่สำคัญมากๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทยมี Painpoint ในการลงทุนต่างประเทศ โดยปัจจุบัน คนไทยลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศสูงเป็นต้นๆ ของในทวีปเอเชียเลย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
- การกระจายการลงทุนอาจจะไม่ดีพอ เพราะว่าการที่เราเอาสินทรัพย์ลงไว้ในประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป มันก็จะเป็นความเสี่ยง
- นักลงทุนไทยก็อาจจะพลาดโอกาสของภาคธุรกิจหรือนวัตกรรมที่เติบโตในต่างประเทศ
จากสองเหตุผลหลักนี้ ก็เลยเป็น 2 ปัญหา ที่เราอยากที่จะเข้ามาแก้ไข เพื่อให้การลงทุนต่างประเทศเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นสำหรับทุกคนครับ
รูปแบบการลงทุนยุคใหม่
คุณทิม ยศกร : ผลิตภัณฑ์ที่เรามีตอนนี้ จะมีนโยบายการลงทุน 2 แบบนะครับ แบบแรกคือ Global Asset allocation แบบที่ 2 คือ Thematic
- Global Asset allocation เป็นนโยบายที่ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก โดยที่ระบบจะคอยปรับพอร์ตให้เหมาะสมตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจอยู่เสมอนะครับ โดยมีทั้งหมด 2 แผนการลงทุนให้เลือกนะครับ
- General Investing จะเหมาะสำหรับการลงทุนให้เงินงอกเงย สามารถเลือกระดับความเสี่ยงได้มากถึง 12 ระดับ
- Goal-based Investing เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีเป้าหมายที่ชัดเจน โดยปัจจุบันมีให้เลือกทั้งหมด 8 เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น การเกษียณ การซื้อบ้าน ซื้อรถหรือว่าเก็บเงินเพื่อการศึกษาของลูก
โดยระบบ จะช่วยคำนวณจำนวนเงินเป้าหมายที่ต้องใช้ แนะนำระดับความเสี่ยงสำหรับระยะเวลาการลงทุน แนะนำพอร์ต แล้วก็จะคอยดูแลตลอดเส้นทางการลงทุน พอใกล้ถึงเป้าหมาย ระบบก็จะค่อยๆ แนะนำให้ลดระดับความเสี่ยงลง เพื่อลดความผันผวน เมื่อถึงเวลาที่เราต้องใช้เงินนะครับ
- Thematic Portfolio จะทำให้นักลงทุนทุกคน สามารถลงทุนในนวัตกรรมหรือเทรนด์ที่เราชื่อว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงภาคเศรษฐกิจและสังคมของโลกได้
ซึ่งปัจจุบัน มีทั้งหมด 4 ธีม ในการลงทุน และก็มีระดับความเสี่ยงให้นักลงทุนเลือกมากถึง 7 ระดับ เพราะฉะนั้นนักลงทุนจะสามารถลงทุนแบบ Thematic ในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเองได้อย่างแท้จริงครับ
Theme การลงทุนที่นักลงทุนยุคใหม่ควรรู้
คุณทิม ยศกร : ธีมแรก จะชื่อว่า Technology Enablers หรือว่าโครงสร้างพื้นฐานของนวัตกรรมแห่งอนาคต ส่วนธีมที่ 2 จะเป็น The Future of Consumer Tech ก็จะเป็นพวกภาคธุรกิจที่อยู่รอบตัวของเรา ไม่ว่าจะเป็น E-commerce, Social Media หรือว่านวัตกรรมยานยนต์ต่างๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเราในอนาคตนะครับ
ส่วนธีมที่ 3 จะเป็นธีม Healthcare Innovation เพราะจะเป็นนวัตกรรมที่จะคอยพลิกโฉมวงการทางการแพทย์ ให้คอยดูแลสุขภาพของคนทั่วโลกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ธีมที่ 4 จะเป็น Environment and Cleantech นะครับ ซึ่งปัจจุบันสหประชาชาติได้ออกมาส่งสัญญาณว่าเป็น Code Red แล้ว ว่าเราทุกคนจะต้องพยายามพัฒนาโลกของเราให้ยั่งยืนมากขึ้น ก็จะเป็นตัวเร่ง สปีดการพัฒนานวัตกรรมต่างๆเหล่านี้นะครับ นอกจากที่ทำให้โลกเรายั่งยืนขึ้น แล้วก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีเช่นเดียวกันครับ
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 ธีมนี้ เป็นธีมที่นักลงทุนต่างประเทศทั่วโลก ให้ความสนใจ แล้วก็อยากจะให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนตาม Theme ที่น่าสนใจเหล่านี้ได้นะครับ แต่ที่สำคัญมากๆ คือควรลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจและเชื่อมั่นอย่างจริงจัง เพราะว่าจะทำให้คุณสามารถลงทุนได้ในระยะยาวครับ
ข้อดีและข้อควรระวังในแบบ Thematic
คุณทิม ยศกร : การลงทุนแบบ Thematic นอกจากจะมีศักยภาพในการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกันครับ เพราะหนึ่งเลยเป็นการลงทุนที่กระจุกตัว ตัวอย่างเช่น ถ้าเราลงทุนในนวัตกรรม Self-Driving Car อย่างเดียวหากเกิดมีอุบัติเหตุหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็อาจจะสร้างผลกระทบต่อพอร์ตของเราได้อย่างสูงเลยนะครับ
ส่วนที่ 2 เลยนะครับการลงทุนแบบ Thematic เนี่ยเป็นการลงทุนในธุรกิจและนวัตกรรม ที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่ mature เพราะฉะนั้น บางธุรกิจหรือบางนวัตกรรมก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็เป็นไปได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดเลย คือการกระจายการลงทุนให้มีประสิทธิภาพ
โดยที่ StashAway ครับเราเน้นการกระจายการลงทุนในประมาณ 5-6 นวัตกรรม ในแต่ละธีมของเรา เพื่อการบริหารความเสี่ยงที่ดีและเราก็มีการนำสิ่งที่เราเรียกว่า สินทรัพย์ปรับสมดุล เข้ามาเพิ่มเติมในการบริหารความเสี่ยง ทำให้เราสามารถสร้างพอร์ต Thematic ที่มีระดับความเสี่ยงที่เหมาะกับนักลงทุนแต่ละราย มากถึง 7 ระดับ ส่วนระบบของเราจะคอยบริหารให้ระดับความเสี่ยง อยู่ตามที่นักลงทุนกำหนดอยู่ตลอดเวลาครับ
StashAway จะเข้ามาช่วยการลงทุนอย่างไรบ้าง
คุณทิม ยศกร : เทคโนโลยีการลงทุนของเรา จะมาช่วยดูแลพอร์ตนักลงทุนในทั้งหมด 2 ส่วนนะครับ ส่วนแรกเลยที่เราเรียกว่า re-optimization ก็คือการปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ เพราะเมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง โอกาสสร้างผลตอบแทนและความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทก็จะไม่เหมือนกัน การที่เราปรับพอร์ตให้เหมาะสม ก็จะสามารถรักษาระดับความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตของนักลงทุนได้นะครับ
ส่วนที่ 2 หรือ rebalancing ในทุกๆ วัน ราคาหุ้นหรือว่าสินทรัพย์แต่ละประเภท มีการเคลื่อนไหว และพอร์ตก็จะขาดความสมดุลได้ กลไก rebalancing ของเรา ก็จะคอยปรับสมดุลของพอร์ตนักลงทุนอยู่ในทุกๆ วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเลยนะครับ เพราะฉะนั้น นักลงทุนเพียงแค่ต้องเลือกระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเองแท้จริง และที่เหลือเทคโนโลยีของเราจะคอยดูแลพอร์ตของนักลงทุนให้ตรงตามที่กำหนดไว้ครับ
บริการของ StashAway เหมาะกับนักลงทุนแบบใด
คุณทิม ยศกร : StashAway เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนต่างประเทศในสินทรัพย์ทั่วโลก ผู้ที่อาจจะไม่มีเวลา ไม่ต้องการที่จะมาเลือกหุ้นหรือกองทุนด้วยตัวเอง แล้วก็ผู้ที่ต้องการหาการลงทุนที่ค่าธรรมเนียมต่ำครับ
นอกจากนี้ StashAway ก็เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ เพราะว่าของเราไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน และแพลตฟอร์มของเราก็ใช้งานง่าย นักลงทุนเพียงแค่ต้องเลือกนโยบายการลงทุนที่ตัวเองสนใจ เลือกระดับความเสี่ยงที่ตัวเองต้องการ หรือยอมรับได้ และที่เหลือแพลตฟอร์มของเราจะคอยจัดการบริหารจัดการให้หมดเลยนะครับ
ปัจจุบันเราก็มีภาษาไทยรองรับเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ถ้าเกิดนักลงทุนสนใจ ก็สามารถดูศึกษาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ หรือลองดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น ของ StashAway มาทดลองใช้งานดูนะครับ โดยที่จะสามารถเริ่มสร้างพอร์ต ดูนโยบายการลงทุนต่างๆ โดยที่ยังไม่ต้องเริ่มฝากเงินลงทุน เพื่อดูสิว่าอันนี้ตรงกับความต้องการของตัวเองหรือเปล่าครับ
รับชมคลิป
บทความนี้เป็น Advertorial