หลายปีที่ผ่านมา คือปีแห่งการสร้าง Awareness และนักการตลาดโยนงบบูสต์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย มาปีนี้ทุกอย่างกลับพลิกไปอีกฝั่ง เชื่อว่า Marketing หลายทีมต้องเจอโจทย์ว่าทำอย่างไรให้ออนไลน์สามารถ lead ไปเป็นยอดขายและสามารถวัดผลได้อีก โจทย์ยากเลยทีนี้
วันนี้เราจะมาแชร์เทคนิคและมีวิธีที่ใช้ได้ผล มาเป็นไอเดียในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดกันค่ะ
Awareness ไม่สำคัญ เพราะคนรู้แต่คนไม่ซื้อ
โจทย์ที่เปลี่ยนไปก็มาจากพิษจากเศรษฐกิจนี่เองค่ะ เพราะการสื่อสารเพื่อ Awareness สร้างการรับรู้ ลูกค้าที่เรายิงแอดไปคงได้เห็นโฆษณาของเราผ่านตาบ้าง แต่จะวัดว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้น จะย้ายไปเป็นยอดขายได้มั้ย อันนี้ค่อนข้างยาก ซึ่งในปีที่ผ่านมาหลายแบรนด์ก็สร้างฐานให้คนรู้จักค่อนข้างเยอะแล้ว
มาปีนี้มีโจทย์ว่าต้องกระตุ้นยอดขายให้เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ต้องดูคือ มีข้อมูลของลูกค้ามั้ย อย่างน้อยมีอีเมล์ เบอร์โทรศัพท์ หรือการติดต่อถึงเขาแบบออฟไลน์อย่างไรบ้าง เพราะข้อมูลตรงนี้คือข้อมูลของลูกค้า ที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าเรา โดยไม่ต้องไปโปรโมทแบบหว่านอย่างปีที่แล้ว ใครได้ข้อมูลติดต่อตรงส่วนนี้ไป จึงได้เปรียบเรื่อง Big Data อย่างมาก
ออนไลน์นำไปออฟไลน์ได้ แต่ไม่ทุกแบรนด์
ต้องบอกก่อนว่า ทุกแบรนด์ต่างมีข้อจำกัดของตัวเอง การจะดึงคนบนออนไลน์ไปออฟไลน์ได้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ใหญ่ๆ ที่มีช่องทางการขายแบบออฟไลน์อย่างเดียว หรือมีกิจกรรม on ground เพื่อกระตุ้นยอด โดยวิธีที่จะดึงคนไปได้นั้น จะเป็นเรื่องของโปรโมชั่นล้วนๆ เลยค่ะ
เช่น การเล่นกิจกรรมบนโลกออนไลน์ แล้วไปรับส่วนลดที่หน้าร้าน ซึ่งจะมีข้อจำกัดที่ว่า ถ้าโปรโมชั่นนั้น ไม่แรงพอ วิธีนี้จะใช้ไม่ได้ผล ซึ่งโปรที่ได้ผล จะต้องแรงประมาณลดราคาเกือบ 50% หรือถ้าจะใช้ช่องทางออนไลน์เป็นแค่หนึ่งในกลยุทธ์การสื่อสาร ก็ต้องเป็นความพิเศษครั้งแรกครั้งเดียวที่ดึงดูดหนักมากเช่นกัน เพื่อให้คนยอมไปต่อแถวซื้อ จึงเป็นข้อจำกัดว่าวิธีนี้เหมาะสำหรับแบรนด์ใหญ่ที่มีงบการตลาดสูง
ส่วนแบรนด์ที่เล็กลงมา แนะนำว่าพยายามจบการขายให้ได้ภายในช่องทางออนไลน์จะดีกว่า อย่าตั้งเป้าว่าจะสื่อสารเพื่อกระตุ้นให้คนไปซื้อที่ช่องทางออฟไลน์อย่างเดียว เพราะถ้างบไม่ถึงที่จะโปรโมทหนัก ก็เสี่ยงเหมือนเอาเงินไปละลายแม่น้ำนะคะ
หาวิธีวัดผลให้แม่นยำ
ข้อเสียของการโปรโมทบนช่องทางออฟไลน์คือ มีการวัดผลที่ค่อนข้างยาก ทำให้ปีนี้หลายแบรนด์เริ่มหันมาสร้างช่องทางการขายและโปรโมทผ่าน E-Commerce เพื่อให้เก็บข้อมูลเรื่องยอดขายได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ต้องกังวลสำหรับแบรนด์ขนาดเล็กที่มีงบจำกัด เพราะมีวิธีเช็คว่ายอดขายกลับมาหาเราไหม ได้แบบง่ายมากๆ
นั่นคือการ track ข้อมูลจาก link ซึ่งการระบุโค้ดที่มาของลูกค้าแต่ละเพจ จะช่วยเรื่องความชัดเจนและรู้ว่าลูกค้าที่กลับมาซื้อสินค้าของเราหรือมี engage มาจากโพสต์โปรโมทช่องทางไหนกันแน่ ยิ่งถ้าเป็นแบรนด์ที่มีช่องทางการขายบน E-Commerce จะทำให้เราได้ข้อมูลลูกค้าตั้งแต่เริ่มรู้จักจนกลายมาเป็นลูกค้าได้เลย ซึ่งวิธีนี้จะทำให้สรุปข้อมูลได้ดีกว่าการวัดด้วยยอด Reach เพียงอย่างเดียว เพราะเราจะได้ Reach จากกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพและมีโอกาสเป็นลูกค้าเราในระยะยาวได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าแบรนด์ไหนยังไม่มีความพร้อมในเรื่องของเครื่องมือตามที่กล่าวมา แนะนำว่าให้เพิ่มเรื่องของ Call to action สำหรับทุกการสื่อสารกับลูกค้า เพราะเราต้องย่อยข้อมูลทุกอย่างให้ง่ายที่สุด ไม่ซับซ้อน ซึ่งแบรนด์ไหนที่ไม่ชอบบอกราคาก็อาจต้องมีร้อนๆ หนาวๆ กันบ้าง
วิธีเหล่านี้เป็นคำแนะนำเบื้องต้นที่นักการตลาดมือใหม่สามารถทำได้ไม่ยาก เหมาะกับช่วงนี้ที่คนไม่อยากออกนอกบ้านกัน รวมทั้งนักการตลาดยังต้องปรับตัวต่อไปเรื่อยๆ ตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้าในหลายๆ ด้าน และอัลกอริธึ่มของโซเชียลมีเดียที่ไม่รู้จะปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง หากใครมีไอเดียที่น่าสนใจสามารถพูดคุยกันในคอมเมนต์ได้เลยนะคะ
Macbook โน๊ตบุ๊คที่ลงตัวทั้งพกพาและการทำงาน คลิกเลย