Site icon Thumbsup

เมื่อการตลาดไม่มีสูตรตายตัว แล้วสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำบ้าง 

หากนักการตลาดท่านไหนได้ทำการตลาดให้แก่หลายแบรนด์ จะพบว่า เคล็ดลับการทำการตลาดไม่มีสูตรตายตัวใช่ไหมคะ บางกลยุทธ์ทำกับแบรนด์นี้แล้วดี แต่พอนำเทคนิคเดียวกันไปใช้กับอีกแบรนด์กลับไม่เวิร์คอย่างที่หวัง นั่นเป็นเพราะทุกแบรนด์ต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป หรือต่อให้เหมือนกัน ความสามารถในการแก้เกมของนักการตลาดก็จะแตกต่างกันอยู่ดี

วันนี้ thumbsup จึงอยากบอกวิธีการรับมือปัญหาการตลาดที่ควรทำและไม่ควรทำ และนำไปปรับใช้งานได้ไม่ว่าจะวางกลยุทธ์ให้แก่แบรนด์ใดก็ตาม

สิ่งที่ควรทำ

ขอพูดเพียงส่วนหลักๆ ที่ควรทำและช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จได้ดีขึ้นนะคะ ว่ามีเรื่องใดที่นักการตลาดควรจะเริ่มต้นนำไปใช้งานกันบ้าง

ถือว่าเป็นทฤษฎีการเข้าใจลูกค้า ตั้งแต่ลูกค้าไม่รู้จักแบรนด์เราจนซื้อสินค้า โดยกระบวนการหลักๆ คือ Awareness >> Interest >> Consideration >> Intent >>  Evaluation >> Purchase

แต่ถ้าในปัจจุบันก็ต้องคิดต่อว่าทำยังไงให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำอีก อาจกระตุ้นด้วยโปรโมชั่น คือสร้างช่องทางสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น Line@ หรือสะสมคะแนน ก็เป็นอีกช่องทางที่หลายแบรนด์เลือกทำค่ะ

ปัจจุบันอินไซต์คือสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปตลอดเวลา สิ่งที่สามารถช่วยได้คือการสรุปรีพอร์ตทุกครั้งที่ทำแคมเปญและยอดขาย เพราะจะช่วยให้เราได้เห็นพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น รวมทั้งยังเห็นพฤติกรรมของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น จากการตัดสินใจซื้อสินค้าของเราในแต่ละครั้ง ซึ่งการร่วมสนุกในกิจกรรมต่างๆ ลูกค้าไม่ได้สนใจว่าเป็นแบรนด์ไหน 

แต่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดให้ลูกค้าหันมาสนใจมองเรา คือ ต้องวิเคราะห์อยู่เรื่อยๆ เพราะการตลาดต้องปรับตามพฤติกรรมผู้บริโภคตลอดเวลา

Data หรือ ข้อมูล เรียกว่าเป็นคลังข้อมูลที่มีค่ามากๆ เพราะข้อมูลถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดกลยุทธ์ ยิ่งแบรนด์มีข้อมูลเชิงลึกมากเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคได้ดีมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังช่วยให้วิเคราะห์แคมเปญได้ดีขึ้น รวมทั้งช่วยให้แต่ละกลยุทธ์ที่คิดออกมาประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เพราะแบรนด์สามารถคิดกลยุทธ์ได้ตอบโจทย์ลูกค้า ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ทำให้ตอนนี้ข้อมูลลูกค้าคือสิ่งที่นักการตลาดต้องมีให้ได้มากที่สุด

 

สิ่งที่ไม่ควรทำ

เมื่อมีรายการสิ่งที่ควรทำแล้ว แน่นอนว่าต้องมีสิ่งที่ไม่ควรทำบ้าง ด้วยพาร์ทนี้จะพูดถึงสาเหตุความผิดพลาดใหญ่ๆ ที่นักการตลาดมักเจอและแก้ไขปัญหาได้ไม่ถูกจุด จนอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังได้ด้วยนะคะ

ถึงแม้งบการตลาดในปีนี้จะลดลง แต่นักการตลาดก็เลือกที่จะทุ่มเงินไปใช้กับความจำเป็นอื่นๆ อย่างเช่น เครื่องมือต่างๆ ที่คนเค้าบอกว่าดี หรืออินเทรนด์ติดกระแส หรือเป็นเครื่องมือที่ใช้แล้วจะช่วยสร้างยอดขายได้แบบถล่มทลายแน่นอน เช่น การลงงบไปกับ Influencer หรือ Youtuber คนดัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ผิดนะคะ

แต่สิ่งที่นักการตลาดลืมคิด นั่นคือยอดรีเทิร์นกลับมาคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ บางแบรนด์อัดเงินไปกับมีเดียหลักที่มีทราฟฟิคเยอะ แต่วัดผลกลับได้ประโยชน์น้อยกว่าเงินที่ต้องสูญไปหลายล้านเสียอีก

ดังนั้น วิธีแก้ไขเบื้องต้นคือ ดูพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าก่อนว่าพวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าจากอะไร แล้วค่อยเลือกลงมีเดียที่จุดนั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั่นคือ ข้อมูลที่ได้มาต้องมากพอที่จะตอบโจทย์ได้ว่าลูกค้าซื้อสินค้าจากมีเดียนั้นจริงๆ 

แน่นอนว่าการที่นักการตลาดคำนึงถึงแต่ยอด Awareness นั้นย่อมไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่ผิดคือการไม่นำ Awareness ไปทำอะไรต่อมากกว่า นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นการทำให้แบรนด์สูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าวิธีการเบื้องต้นก็คือการโปรโมทสินค้าพร้อมกับกิจกรรมแจกสินค้าของรางวัล

หรือการนำ Influencer ที่จะให้โปรโมท มาร่วมโปรโมทกิจกรรมหลักของแบรนด์เราอีกครั้งหนึ่ง เช่น แคมเปญใหญ่ของเราคือ ครีมบำรุงผิวที่ช่วยลดเรือนริ้วรอย จึงสร้างโปรแกรมสแกนผิวเพื่อดูริ้วรอยตื้นลึก จากนั้นก็ให้เหล่า Influencer ร่วมทดลองใช้โปรแกรมนี้ เพื่อให้มีการเชื่อมโยงมาที่ข้อมูลสินค้า ย่อมจะช่วยโปรโมทแบรนด์ได้ดีกว่าการโปรโมทแบบโจ่งแจ้งหรือขายสินค้ามากจนเกินไป

การที่แบรนด์หลงทำตลาดอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวนั้น คือการสร้างจุดสนใจให้รับรู้เพียงแค่ช่องทางเดียว ในขณะที่ผู้บริโภคมีช่องทางการเสพข้อมูลที่หลากหลายช่องทาง ดังนั้น เราจึงควรมองให้กว้างและสร้างโอกาสให้เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายช่องทาง เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้ตลอดเวลา รวมทั้งเปิดไปที่ไหนลูกค้าก็จะสามารถเจอเราได้ง่าย สร้างการจดจำและนึกถึงได้ดีกว่า

แน่นอนว่าสิ่งแรกที่แบรนด์ควรมีนั่นคือ “เว็บไซต์” เพราะเปรียบเสมือนบ้านของเรา จะดูแลตกแต่งยังไงก็ได้ ไม่เหมือนกับการเอาแบรนด์ของเราไปฝากความหวังไว้บนแพลตฟอร์มของคนอื่น ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขหรืออัลกอริธึ่มต่างๆ จนเราอาจเสียลูกค้าไปได้ง่ายๆ และอาจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ยากขึ้น หากเราไม่จ่ายเงินเพิ่มหรือทำตามเงื่อนไขที่เขากำหนด

ทั้งหมดนี้ เรียกว่าเป็นแนวทางที่ควรทำและไม่ควรทำนะคะ ส่วนรายละเอียดในแต่ละชิ้นงาน ขึ้นอยู่ว่าแบรนด์ของเราเป็นสินค้าชนิดไหน กลุ่มลูกค้าคือใคร ที่สำคัญคือต้องส่งมอบสิ่งที่มีคุณค่าและซื่อสัตย์กับลูกค้าเสมอ เพราะความจริงใจของแบรนด์ ลูกค้าจะสัมผัสได้ และทำให้เขารักในแบรนด์ของเราได้ง่ายขึ้นค่ะ