แม้ว่าดีกรีการศึกษาจะเป็นสิ่งสำคัญในยุคสมัยนี้ แต่พนักงานส่วนใหญ่กล่าวว่า การเพิ่มพูนทักษะในหน้าที่การงานยังต้องใช้เวลามากกว่าการเรียนจบเพื่อให้ได้ประกาศนียบัตรมาครอบครองเสียอีก
แม้ว่า 82% ของมหาวิทยาลัยในอเมริกาให้การรับรองว่าการจบการศึกษาจากสถาบันจะช่วยเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพของนักศึกษาได้ แต่ก็มีสถาบันกว่า 70% กล่าวว่าการฝึกอบรมเฉพาะทางจากที่ทำงานนั้นมีประโยชน์กว่าดีกรีการศึกษาเพียงอย่างเดียว ตามที่ผลวิจัยจาก Glassdoor เว็บไซต์ค้นหางานออนไลน์ได้จัดทำขึ้น ระบุว่ากว่า 60% ของพนักงานบริษัทกล่าวว่าการเรียนรู้ทักษะใหม่หรือได้รับการเทรนพิเศษนั้นมีความสำคัญต่อการก้าวหน้าในอาชีพการงานและรายได้ เมื่อเทียบกับ 45% ที่คิดว่าไม่แตกต่างจากการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนย้ายงาน การค้นหางานหรือบริษัทใหม่ และการได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางสายงาน
นอกจากนี้พนักงานได้กล่าวถึงมหาลัยที่เคยเรียนว่าไม่ได้ให้น้ำหนักของการทำงานกับนายจ้างเท่าใดนัก และกว่าครึ่งของพวกเขาไม่ได้ใช้ทักษะที่เรียนมาในการทำงาน ณ ปัจจุบัน ขณะที่ 80% ให้การยืนยันว่าพวกเขาไม่เคยถูกถามว่าจบด้วย GPA เท่าไหร่ในตอนสัมภาษณ์งาน ในการสำรวจครั้งนี้ 3 ใน 4 ของพนักงานกล่าวว่าประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างทำงานมีความเกี่ยวข้องกับทักษะการทำงานและสำคัญกว่าการศึกษาเมื่อใช้ประเมินความสามารถของผู้สมัครงาน ขณะที่กว่า 53% กล่าวว่าการศึกษาไม่มีผลต่อการได้งานที่มีผลตอบแทนสูงอีกต่อไป
Rusty Rueff นักวิขาการจาก Glassdoor กล่าวว่าพนักงานยังได้รับคุณค่าการจากการศึกษา เพราะเป็นเหมือนชิ้นส่วนสำคัญที่ต้องนำมาประกอบเพื่อความสำเร็จทางอาชีพ แม้ว่าปัจจุบันนี้จะสลับสับเปลี่ยนไปบ้าง ตอนนี้พนักงานรู้สึกมีทักษะใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะก้าวหน้าในอาชีพ และยังเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องการจากพนักงานอย่างแท้จริงที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า
สำหรับพนักงานที่กำลังมองหางานที่มีเงินเดือนสูงขึ้นหรือไต่บันไดไปยังบริษัทที่ใหญ่กว่า ควรจะศึกษาดูก่อนว่าอุตสาหกรรมที่กำลังสนใจอยู่นั้นต้องการทักษะที่จำเพาะเจาะจงในตัวพนักงานอย่างไร แม้ว่าการกลับไปศึกษาหาความรู้ในสถาบันการศึกษาก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาตรงนี้ได้ แต่ยังมีอีกหลายทางเลือก เช่น เข้าโปรแกรมเทรนระยะสั้น เข้าร่วมแคมป์ webinars หรือเข้าคอร์ส online non-degreed ฯลฯ
การศึกษาครั้งนี้ทำขึ้นโดยการสำรวจผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไปจำนวน 2,059 คน ในอเมริกา ที่เป็นลูกจ้างแบบเต็มเวลาและแบบพาร์ทไทม์
ที่มา : Mashable