Site icon Thumbsup

[วิเคราะห์] ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีแห่งความโหดร้ายตั้งแต่รากหญ้าถึงมหาเศรษฐี

ปี 2020 ต้องเรียกว่าเป็นปีที่เหนื่อยหนักทั่วโลก อาจเพราะทุกคนต้องเจอปัญหาทั้งเศรษฐกิจ การเมืองและโรคภัยไข้เจ็บ รวมไปถึงเกือบจะมีเหตุให้ต้องเผชิญกับภาวะสงครามโลกครั้งที่สามแต่ที่ชัดเจนคือการห้ามออกนอกบ้าน ต้องกักตัวอยู่แต่ภายในเคหะสถานของตนเองนั้น กระทบถึงการทำงาน การออกไปใช้ชีวิต การเดินทาง รวมถึงเศรษฐกิจมวลรวมทั้งหมด ทำให้ทุกประเทศต้องกลับไปดูแผนฟื้นฟูธุรกิจ สุขภาพและประชาชนของตนเอง ให้รอดพ้นภัยพิบัตินี้

ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจจาก SCB

ทางด้านของตลาดหุ้นนั้น ทางธนาคาร SCB ประเมินว่ายังไม่มีผลกระทบที่รุนแรงต่อตลาดหุ้นและผลประกอบการแต่ก็มีข้อแนะนำให้กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจำกัดคือ กลุ่มพลังงาน บรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ เครื่องดื่มและถุงมือยาง ยังสามารถเข้าไปลงทุนในธุรกิจเหล่านี้ได้ เพราะมีโอกาสเติบโตด้านผลประกอบการยาวไปถึงปีหน้า

ส่วนกลุ่มที่คาดได้รับผลกระทบจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง (รถไฟฟ้า สายการบิน) และกิจกรรมนอกบ้าน (โรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ค้าปลีก โรงพยาบาล) ที่ยังต้องรอข่าวดีเรื่องประโยชน์ของวัคซีนในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินผลกระทบเรื่องการระบาดของโควิดต่อพื้นฐานตลาดหุ้นไทยว่าจะไม่รุนแรงเท่ารอบแรก ส่วนการใช้มาตรการเข้มงวดของทางรัฐบาลเกี่ยวกับการจำกัดคนเฉพาะสถานที่สาธารณะต่างๆ ผลกระทบน่าจะตกไปอยู่ที่ปัจจัยพื้นฐาน จนกว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะชะลอตัวลดลงถึงจะมีโอกาสฟื้นกลับมาอีกครั้ง

ภาพรวมเศรษฐกิจจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ในมุมของศูนย์วิจัยกสิกรไทยนั้น มองว่า แม้ในปี 2564 อุตสาหกรรมหลักจะฟื้นตัวเป็นบวกได้ ต้องมาจากฐานที่ต่ำมากในปี 2563 ภาคธุรกิจยังมีความท้าทายยิ่งในภาคการท่องเที่ยว ถือว่ายังได้รับผลกระทบหนักต่อเนื่อง

แม้ว่ารัฐบาลจะมีความพยายามช่วยเหลือคนกลุ่มนี้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน หรือส่วนลดด้านภาษี แต่ก็ยังมีโรงแรมและที่พักในหลายพื้นที่ไม่สามารถประคองธุรกิจและมีรายได้หล่อเลี้ยงเพียงพอ อาจเพราะจำนวนธุรกิจรายย่อยในกลุ่มนี้มีเยอะมาก จะมีแค่รายที่สายป่านยาวจริงๆ ที่ยังเดินหน้าต่อได้

ส่วนกลุ่มที่อยู่อาศัยยังเผชิญกับความตึงตัวด้านสภาพคล่องอยู่บ้าง จึงต้องรอบคอบในการเปิดโครงการใหม่ แต่ผู้ประกอบการก็มีการปรับตัวบ้างแล้วในระดับหนึ่งและหารายได้อื่นมาเสริมทำให้สภาพการณ์ยังไม่น่ากังวลนัก

ทางด้านของกลุ่มรถยนต์ก็เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ จากการลงทุนด้านการผลิตรถยนต์แห่งอนาคต ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายในระยะกลางและระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การระบาดรอบสองของโควิด-19 ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ช่วงการล็อกดาวน์ของบางจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อนั้น ถือว่ามีความเสี่ยงด้านผลกระทบต่อธุรกิจรายย่อยมูลค่ารวม 45,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

ทั้งนี้ สมุทรสาคร นับเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักในธุรกิจการประมงและการแปรรูปสัตว์น้ำ โดยปริมาณสัตว์น้ำสดที่ใช้ในธุรกิจการประมงและการแปรรูปสัตว์น้ำเค็ม มีสัดส่วนเกือบ 40% ของทั้งประเทศ (ไม่รวมวัตถุดิบนำเข้า)[1] การล็อกดาวน์ จึงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการค้าและการผลิตหมวดนี้ไม่น้อย

อย่างไรก็ดี การสร้างความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยของสินค้าและกระบวนการผลิตโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คงจะช่วยบรรเทาผลกระทบได้ นอกจากนี้ ผลกระทบดังกล่าวยังนับว่าอยู่ในขอบเขตที่ค่อนข้างจำกัด จากการที่ผู้บริโภคและผู้ใช้วัตถุดิบยังมีทางเลือกในการซื้อและจัดหาสินค้าจากแหล่งอื่น อีกทั้งมีประเภทอาหารที่หลากหลายและเพียงพอ ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็นิยมบริโภคสินค้าประมงและอาหารทะเลในสัดส่วนที่น้อยกว่าเนื้อสัตว์อย่างหมูและไก่อยู่แล้ว

นอกจากความสูญเสียทั้ง 3 ด้านแล้ว สถานการณ์ COVID-19 รอบใหม่นี้ ยังอาจสร้างผลกระทบด้านอื่นๆ ที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้อย่างชัดเจนด้วย อาทิ ผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการที่ค้าขายสินค้าอื่นๆ ในตลาด จากการที่ผู้คนหลีกเลี่ยงการสัญจรโดยเฉพาะการสัญจรไปในพื้นที่ที่มีการระบาดหรือพบผู้ติดเชื้อ เป็นต้น

[1] ข้อมูลจากรายงานสถิติการประมงแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2561 โดยกรมประมง

อย่างไรก็ตาม การที่โควิด-19 กลับมาอีกรอบในช่วงปลายปีและกำลังจะเข้าสู่ช่วยไฮซีซั่นด้านการใช้จ่าย การออกไปใช้ชีวิตและการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยิ่งทำให้เม็ดเงินที่คาดว่าจะสะพัด อาจลดน้อยลงกว่าเดิม หรือหากมองในแง่ดีคือคนไทยปรับตัวกับวิถีชีวิตใหม่แล้ว รู้จักการป้องกันสุขภาพตนเองมากขึ้น แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องการ์ดตก ไม่สวมใส่แมสเมื่ออยู่ในที่ชุมชน แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะกลับมาตั้งการ์ดกันมากขึ้น

คุณกรีฑากร ศิริอัฐ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอสแอลอาร์ที จำกัด ใน เครือ เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการร้านอาหารภายใต้แบรนด์ ซิซซ์เล่อร์ เล่าว่า ในมุมของธุรกิจอาหารอย่างซิซซ์เล่อร์เอง เราค่อนข้างจะมีการวางแผนที่รัดกุมมาก จากเดิมเคยมีแผนสำรองเพียง 2-3 แผน ตอนนี้มีกว่า 10 แผนเลย ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาก็แก้ไขได้ทันที

“เราผ่านช่วงโควิดรอบแรกไปแล้ว ถ้าไม่นับเคสที่เกิดขึ้นเราคาดการณ์ว่าธุรกิจจะไปได้เรื่อยๆ คือในแง่บริการก็ต้องผสมผสานไลฟ์สไตล์และเดินหน้ากลยุทธ์ออนไลน์ไปด้วยกันจนกว่าจะมีวัคซีนออกมา เราค่อนข้างที่จะเรียนรู้และปรับตัวได้มากแล้ว แผนการลงทุนต่างๆ ก็จะเลือกในแนวทางที่เหมาะสมก่อน อาจจะไม่ได้ตามแผนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมาก”

การปรับตัวที่รวดเร็วทำให้ยอดขายในไตรมาสที่ 3 เติบโตขึ้นจากครึ่งปีแรกคิดเป็น 100% และคาดว่าการเติบโตของซิซซ์เล่อร์มีแนวโน้มจะเติบโตมากถึง 5 – 10% ในปี 2564 โดยแนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องของเทรนด์อาหารสุขภาพและสถานการณ์ที่เริ่มคลี่คลายของโควิด 19 ทั่วโลก

นอกจากนี้ ซิซซ์เล่อร์ ได้พยายามนำร่องเรื่องเทคโนโลยีพวก Contactless ต่างๆ เช่น การจ่ายเงินก็ปรับให้รับได้ทุกรูปแบบออนไลน์-ออฟไลน์ (Cashless) การใช้ปุ่มกดแบบ Smart Alarm Order เข้ามาช่วยลดการส่งเสียงเรียกพนักงาน หรือใช้หุ่นยนต์มาช่วยเสิร์ฟอาหาร

ดังนั้น การลงทุนแต่ละอย่างในอนาคตเราจะเลือกดูจังหวะที่เหมาะสมในแต่ละเรื่อง เตรียมพร้อม Protocal ต่างๆ มากขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์และชัดเจนสำหรับการทำงานของทีมด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินว่าลูกค้าของซิซซ์เล่อร์มีความยินยอมในการปรับตัวในการใช้บริการสาขามากขึ้น เช่น ยอมวัดอุณหภูมิ ใส่หน้ากากก่อนเข้าร้าน ล้างมือด้วยเจล ใส่ถุงมือขณะตักอาหาร เป็นต้น จึงเป็นสัญญาณที่ดีว่าทุกคนปรับตัวเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่และรู้จักป้องกันตัวเองมากขึ้น

แม้ว่าเราจะอยู่ในช่วงใกล้สิ้นปีมากๆ อีกเพียงสัปดาห์เดียวก็จะเข้าสู่ปีใหม่ และไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้ทั้งพนักงานและธุรกิจผ่านพ้นปัญหาและรักษาธุรกิจให้อยู่รอดได้อย่างราบรื่นนะคะ