หากเอ่ยถึงความนิยมในการดื่มชานมไข่มุกของคนไทย เรียกได้ว่าโดดเด่นไม่แพ้ชาติใดในโลก จากข้อมูลของ Grab Food เกี่ยวกับตลาดเครื่องดื่มชานมไข่มุกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2561 มียอดสั่งซื้อเติบโตเพิ่มขึ้น 3,000% จากแบรนด์ชานมไข่มุกกว่า 1,500 แบรนด์ ที่มีหน้าร้านจำหน่ายรวมกว่า 4,000 สาขา
โดยชาวไทยบริโภคชานมไข่มุกมากที่สุด เฉลี่ยคนละ 6 แก้วต่อเดือน ตามด้วยชาวฟิลิปปินส์บริโภคชานมไข่มุกเฉลี่ยคนละ 5 แก้วต่อเดือน ชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย บริโภคเฉลี่ยคนละ 3 แก้วต่อเดือน
เรียกได้ว่า โอกาสและการเติบโตของธุรกิจนี้สดใสมาก ขนาแบรนด์ The Alley ที่เพิ่งเข้าไทยมาเพียง 1 ปี มียอดซื้อโตกว่า 3,000% และยังเฉลี่ยการซื้อต่อเดือนอยู่ที่ 1 แสนแก้วต่อเดือน ชี้ให้เห็นว่าความนิยมในเครื่องดื่มชนิดนี้ยังสดใสมาก
นายอนล ธเนศวรกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มิลลาร์รี่ จำกัด มาสเตอร์แฟรนไชส์ The Alley แบรนด์ชานมไข่มุกพรีเมียมจากประเทศไต้หวันในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เล่าว่า The Alley เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยครบรอบ 1 ปี นับว่าได้รับการตอบรับและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยยอดขายกว่า 100,000 แก้วต่อเดือน
จากข้อมูลของบริษัทฯ พบว่า จำนวน 80% ของยอดขายเป็นเครื่องดื่ม Milk Tea และ Brown Sugar กลุ่มลูกค้าหลัก 79% เป็นผู้หญิง และ 21% เป็นผู้ชาย โดยลูกค้าทั้งสองกลุ่มบริโภคชานมไข่มุกสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 24 – 35 ปี ถึงกว่า 50% และช่วงอายุ 35 – 44 ปี มากกว่า 25%
เมนูยอดนิยมของผู้บริโภคใน 5 อันดับแรกได้แก่
- Brown Sugar Deerioca & Fresh Milk
- Royal No.9 Milk Tea
- Brown Sugor Deerioca & Puff
- Tropical Passion Fruit Green Tea / Orange Lulu
- Trio Assam Milk Tea
สำหรับท็อปปิ้ง
- มากกว่า 79 % คือ ไข่มุก
- ประมาณ 10 % คือ ว่านหางจระเข้
- ประมาณ 6% คือ มะพร้าว
- อีก 4 % คือ เจลลี่
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริโภคนิยมรับประทานหวานน้อยลง โดยผู้บริโภคกว่า 65% นิยมสั่งลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลง 33% สั่งลดปริมาณน้ำตาลให้มีรสชาติหวานน้อย 26% สั่งหวานปลานกลาง และ 6% ไม่ใส่น้ำตาล พบเพียง 35 % เท่านั้นที่สั่งความหวานในระดับปกติ จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพของตัวเองมากขึ้นในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม The Alley มีรูปแบบร้านตามไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ด้วยแนวคิดการตกแต่งร้านที่เป็นธรรมชาติ และยังได้มีการพัฒนาร้านให้มีรูปแบบแตกต่างไปจากเดิม คือ The Alley Express เป็นรูปแบบร้านที่เหมาะสำหรับลูกค้ามาซื้อเครื่องดื่มกลับไปทานที่บ้านหรือที่ทำงาน
สำหรับ Delivery โดยเน้นให้เป็นรูปแบบการบริการที่รวดเร็วขึ้น และ The Alley Café ที่มาพร้อมกับความหลากหลายของเมนู ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้มากขึ้น ตกแต่งร้านให้เป็นรูปแบบคาเฟ่ มีพื้นที่ให้ลูกค้าสามารถนั่งชิลหรือนั่งทำงานภายในร้านได้ ทั้งนี้ คาดว่าในอนาคต จะขยายร้านทั้ง 2 รูปแบบ ให้มีสาขาเพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การพัฒนารูปแบบร้านอื่น ๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีแผนในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยสาขาละ 2-3 ล้านบาท ซึ่งยังต้องดูในเรื่องของพื้นที่เป็นหลัก และเตรียมเปิดสาขาที่ไอคอนสยามกับเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน
นางสาวอุณาวรรณ ตั้งคารวคุณ ผู้ร่วมก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลลาร์รี่ จำกัด กล่าวว่าจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีแผนที่จะขับเคลื่อนธุรกิจในประเทศไทยอย่างจริงจังใน 5 ด้าน ได้แก่
- มุ่งขยายสาขาThe Alley ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 20 สาขาภายในปี 2563 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยมุ่งไปในจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูง ได้แก่ อุดรธานี ชลบุรี ระยอง และภูเก็ต ปัจจุบัน The Alley มีสาขาทั้งหมด 12 สาขา ได้แก่ สยามสแควร์ เซ็นทรัลเวิลด์ สยามเซ็นเตอร์ ซีคอนสแควร์ บางจาก เซ็นทรัลบางนา เซ็นทรัลลาดพร้าว ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต สีลมคอมเพล็กซ์ Gump Ari เมกาบางนา และนิมานเหมินท์ เชียงใหม่ ทั้งนี้ ภายในเดือนธันวาคมปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา ได้แก่ ไอคอนสยาม และเดอะมอลล์งามวงค์วาน
- แผนการเพิ่มสินค้าใหม่เพื่อเพิ่มความหลากหลายและสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น ได้แก่
- ไอศกรีม Soft Serve ที่ได้นำเมนู Royal No.9 Milk Tea ซึ่งเป็นเมนู signature มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หารับประทานได้ที่ The Alley โดยพัฒนาสูตรเสิร์ฟพร้อมกับเยลลี่สูตรพิเศษ เพิ่มความอร่อยที่แปลกใหม่
- เบเกอรี่ คัดสรรเมนูไม่ว่าจะเป็น Sausage Puff, Bacon & Egg Panini, ครัวซองต์ และอีกมากมาย พร้อมเสิร์ฟร้อน ๆ ให้กับลูกค้าที่ The Alley Café
- เครื่องดื่มร้อน ซึ่งมีแผนเพิ่มเครื่องดื่มร้อนมากกว่า 20 เมนู มีความพิเศษที่นำ Brown Sugar มาทำเครื่องดื่มร้อน เพิ่มรสชาติหอมอร่อยกลมกล่อมยิ่งขึ้น และนอกจากนี้ ยังมีชานม และ ชาใส ที่ทำเป็นเครื่องดื่มร้อนอีกด้วย
- เครื่องดื่มชานมไข่มุกเมนูใหม่ โดยการจับมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำ พัฒนาเครื่องดื่มที่เป็น ซีซันนอล (Seasonal) ตอบโจทย์ตลาดไลฟ์สไตล์และสุขภาพ นำเอาจุดแข็งของแบรนด์ The Alley ผสมผสานกับจุดแข็งของพาร์ทเนอร์ เช่น ไข่มุกบราวน์ชูก้าร์ สูตรพิเศษของ The Alley ผสมผสานกับนมถั่วเหลืองของดีน่า
- Catering เป็นการขยายธุรกิจการจัดเลี้ยงนอกสถานที่ สำหรับงานสัมมนา อีเว้นท์ งานแต่งงาน จับกลุ่มธุรกิจโรงแรม ออฟฟิศสำนักงาน โดยนำรูปแบบของ The Alley ไปให้บริการพร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มอร่อย ๆ ถึงสถานที่นั้นๆ ทำให้รู้สึกเหมือนรับประทานอยู่ที่ร้าน
- ส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิค (Organic Ingredient) ด้วยสุขภาพของผู้บริโภคเป็นเรื่องที่สำคัญ The Alley จึงมุ่งสรรหาวัตถุดิบและส่วนประกอบออแกนิคเข้ามาเป็นส่วนผสมในเมนูเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น น้ำเชื่อมที่ผลิตจากอ้อยออแกนิคไม่ผ่านการฟอกขาว ไซรัปน้ำตาลอ้อย ปลอดสารเคมี ไม่ปรุงแต่งกลิ่น และสีสังเคราะห์ใบชาออแกนิค คัดสรรใบชาที่ผ่านกระบวนการปลูกแบบออแกนิค
- มุ่งสู่ Go Green แสดงจุดยืนดูแลและรักษ์โลก แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ การดำเนินการภายใน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ส่วนประกอบออแกนิค การบริหารจัดการเศษอาหารอย่างมีศักยภาพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น แก้ว ถุง หลอดดูด เป็นต้น และการดำเนินการภายนอกด้วยการมีส่วนร่วมกับลูกค้า ได้แก่ การรณรงค์ลดขยะพลาสติก ด้วยการนำแก้วและหลอดดูดของตัวเองมาซื้อเครื่องดื่ม รณรงค์ให้ใช้ถุงกระดาษ ถุงผ้าใส่เครื่องดื่มแทนพลาสติก โดยจะจัดโปรโมชั่นส่วนลดเพื่อส่งเสริมการลดขยะจากพลาสติก ทั้งนี้ The Alley มุ่งหวังอย่างยิ่งที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
The Alley เริ่มเปิดตัวสาขาแรกในประเทศไต้หวันเมื่อปี 2557 จากนั้น 1 ปี ได้ขยายสาขาในไต้หวันเพิ่มเป็น 10 สาขา ต่อมาปีในปี 2559 ขยายสาขาออกไปยังประเทศแคนนาดาและมาเก๊า ในปี 2560 ขยายสาขาใน มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีนและเวียดนาม และในปี 2561 ได้เข้าไปเปิดตลาดในประเทศฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เกาหลีและในประเทศไทย
ปัจจุบัน The Alley มีสาขาอยู่ใน 10 ประเทศทั่วโลก ทั้งหมดกว่า 315 สาขา โดยจุดเด่นคือเป็นแบรนด์ชานมไข่มุกไลฟ์สไตล์พรีเมียม ที่ใส่ใจสุขภาพผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม