ใครที่เป็นสายท่องเที่ยวและชอบเดินทางไปพักตามโรงแรมสวยๆ ในต่างประเทศ จะต้องเคยได้ยินชื่อแบรนด์ The Standard โรงแรมหรูที่มีดีไซน์ล้ำๆ ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น นิวยอร์ค ลอสแองเจลิส ไมอามี ลอนดอน มัลดีฟส์ และคราวนี้จะมาเปิดให้บริการที่หัวหิน ช่วงธันวาคมนี้ ทั้งยังเลือกไทยเป็นโรงแรมแฟล็กชิพในเอเชียที่ย่านใจกลางกรุงเทพ ในชื่อ The Standard, Bangkok Mahanakhon เพราะมองว่าไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกอยากมาสัมผัส
อมาร์ ลัลวานี่ ซีอีโอ Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) บริษัทแม่ของเครือโรงแรม The Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) แสดงความเชื่อมั่นต่อธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ท่ามกลางความท้าทายจากผลกระทบของโควิด19 พร้อมเผยทัศนะ ในการขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางวิกฤติจนสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโรงแรมใหม่ล่าสุด ที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งและขยายการเติบโตให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ได้แก่ The Standard, Hua Hin (เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน) รีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำหนดเปิดตัววันที่ 1 ธันวาคม 2564 ตามด้วย The Standard, Bangkok Mahanakhon (เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร) อันถือเป็นโครงการแฟล็กชิพประจำเอเชียของแบรนด์ ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2565
บริษัทฯ ยังสร้างความฮือฮาด้วยการเผยความพร้อมของ The Standard, Ibiza (เดอะ สแตนดาร์ด อิบิซ่า) ที่จะเปิดให้บริการในปี 2565 โดยโรงแรมใหม่ทั้ง สามแห่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการเริ่มต้นแผนการขยายตลาดด้วยโครงการเด่น 12 แห่งในเมืองท่องเที่ยวในตลาดสำคัญทั่วโลก รวมถึงในสิงคโปร์ เมลเบิร์น ลิสบอน ดับลิน บรัสเซลส์ และลาสเวกัส
การเปิดตัวแบรนด์ The Standard เข้าสู่ตลาดประเทศไทย ถือว่าทำได้อย่างถูกเวลาเนื่องจากประเทศไทยกำลังเดินหน้าเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยการผ่อนผันกฎเกณฑ์ในการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย และการเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชน
“ในนามของ The Standard ผมมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่จะแนะนำโรงแรมสมาชิกใหม่ของเราอย่างThe Standard, Hua Hin ที่มีกำหนดเปิดบริการในเดือนธันวาคมของปีนี้ รวมถึง The Standard, Bangkok Mahanakhon โครงการแฟล็กชิพของเราในเอเชีย ที่จะเปิดตัวปี2565 และ The Standard, Ibiza โรงแรมแห่งที่สองของเราในยุโรป” มร. อมาร์ ลัลวานี่ ซีอีโอ Standard International เผย
“อย่างที่ทราบกันดี วิกฤตที่เรากำลังประสบในเวลานี้เป็นความท้าทายที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการไม่เคยเผชิญมาก่อน ส่งผลกระทบต่อแรงงานนับล้านคนทั่วโลก ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ องค์กรของเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำความสุขความเพลิดเพลินมาสู่แขกผู้ใช้บริการ ทั้งยังทำประโยชน์ต่อชุมชนรอบข้าง และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับสมาชิกทีมงานโดยการรังสรรค์โครงการโรงแรมที่น่าทึ่งทั่วโลก”
แบรนด์ The Standard เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะ หนึ่งในแบรนด์ที่มีนวัตกรรมด้านไลฟ์สไตล์ ที่สร้างสรรค์โดดเด่นที่สุดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ โดย The Standard กำหนดเป้าหมายสำคัญของทุกโครงการให้มีความท้าทายขนบแบบเดิม ยกระดับสุนทรียภาพของรูปลักษณ์ให้จับต้องได้ และมอบประสบการณ์สุดพิเศษในแบบที่จะสัมผัสด้เฉพาะที่โรงแรมในเครือ The Standard เท่านั้น
“ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายท่องเที่ยวอับดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม และความรุ่มรวยของมรดกทางวัฒนธรรม และจากความตั้งใจจริงของเราที่จะวางรากฐานในเอเชียอย่างมั่นคง เราจึงนำประสบการณ์กว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมบูทีคโฮเทล ความเป็นแบรนด์ที่เร้าความรู้สึกอย่างมีรสนิยม ด้วยการออกแบบที่พิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียด และบริการที่เป็นเลิศ มาสู่ผู้บริโภคในตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่งอย่างเมืองไทย เริ่มด้วยการเปิดตัวโครงการแลนด์มาร์กใหม่ทั้งสองแห่งนี้” มร. อมาร์ กล่าวเสริม
ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในเดสทิเนชั่นอันดับต้น ๆ ของนักเดินทางจากทั่วโลก จนทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่า 38 ล้านในปี 2561 และมากกว่า 39 ล้านในปี 2562 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งกรุงเทพฯ และภูเก็ต ยังคงได้รับความนิยมในฐานะเมืองสุดโปรดของเหล่านักเดินทางนานาชาติ
โดยติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลกจากการมอบรางวัล Tripadvisers Travellers’ Choice Best of the Best 2021 ในประเภท Popular Destinations – World’ จากการลงคะแนนเสียงโดยนักท่องเที่ยวที่เคยมาสัมผัสและหลงรักเมืองทั้งสองแห่ง
การจะฟื้นธุรกิจท่องเที่ยวให้กลับคืนมาเหมือนช่วงก่อนโควิด19 ระบาดนับว่าเป็นเรื่องท้าทายมากดังนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงเริ่มต้นผลักดันภารกิจหลักสู่การฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศให้กลับมาโลดแล่นเหมือนเดิม ประเทศไทยเริ่มพิจารณาใช้นโยบายเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง หลังจากแผนระดมฉีดวัคซีนดำเนินการได้ตามเป้า
โดยเริ่มจากโครงการนำร่อง ‘Phuket Sandbox’ ที่อ้าแขนรับเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนเข้าสู่เกาะภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตามด้วยโครงการในลักษณะเดียวกันในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ รวมทั้งโครงการ ‘Hua Hin Recharge’ ที่ตั้งเป้าให้มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่ให้ได้ร้อยละ 70 เพื่อพร้อมรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาเยือนเมืองชายทะเลแห่งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในช่วงที่ฤดูท่องเที่ยวหลักใกล้เข้ามา ซึ่งโดยปรกติจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม ประเทศไทยจะมีเมืองท่องเที่ยวหลัก 5 แห่ง (ภูเก็ต สมุย พัทยา เชียงใหม่ และหัวหิน ซึ่งข้อมูลจากททท. ระบุว่าสร้างรายได้เข้าประเทศคิดเป็นร้อยละ 50 ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวม) ที่เข้าร่วมในแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ขณะที่อีก 2จังหวัด คือ กระบี่และพังงา เป็นจุดหมายรองจากเมืองหลัก
ปัจจุบันภูเก็ตเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนเดินทางได้ทั่วเกาะ ขณะที่เมืองอื่น ๆ จะเปิดให้เดินทางไปยังบางเส้นทางโดยนักท่องเที่ยวยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแต่ละที่ ขณะเดียวกัน ภาครัฐกำลังพิจารณาให้หัวหินเป็นจุดหมายที่เปิดโอกาส ให้นักท่องเที่ยวเดินทางได้อย่างอิสระในรัศมี 86 กิโลเมตรโดยไม่ต้องมีการกักตัว
เมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในประเทศไทย เมืองชายทะเลอย่างหัวหิน อันเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกในเมืองไทยในเครือ The Standard พึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดย 70% ของนักท่องเที่ยวก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย อัตราการเข้าพักสูงถึง 90% ในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดราชการ ทั้งนี้ ในปี 2563 โรงแรมในหัวหินมีตัวเลขอัตราการเข้าพักสูงที่สุดอยู่ที่ 39% มากกว่าเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างพัทยา ภูเก็ต และกรุงเทพฯ
ปัจจุบัน กระแสความต้องการในการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีรายได้สูง จากประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคง และพึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวขาเข้าน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ซึ่งโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เป็นเป้าหมายหลักที่ธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ ให้ความสนใจเป็นอย่างสูง ในการดึงดูดให้เข้ามาท่องเที่ยวประเทศของตนเอง
ซึ่งประเทศไทยคือจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงสำหรับการท่องเที่ยวของนักเดินทางกลุ่มนี้เมื่อมีการเปิดพรมแดนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยวอีกครั้ง หากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ยังไม่สามารถดำเนินการในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และยกเลิกข้อกำหนดในการเดินทางข้ามประเทศได้อย่างทันท่วงที
ถึงแม้ว่าวิกฤติโควิด 19 จะสร้างผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้ ภาวะโรคระบาดใหม่ทำลายธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเสียหาย แต่เครือ The Standard สามารถยืนหยัดสู้กับสถานการณ์วิกฤติได้อย่างแข็งแกร่งและภาคภูมิ ด้วยวิสัยทัศน์ที่เล็งเห็นว่าว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะกลับมามีอนาคตที่สดใส โดยส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ในปี 2564 ในสหรัฐอเมริกาแซงหน้าตัวเลขในปี 2562 ด้วยค่าเฉลี่ยดัชนีการสร้างรายได้ที่ระดับ 134 ต่อ 122 เมื่อเทียบกับเครือโรงแรมคู่แข่งในระดับเดียวกัน
“ท่ามกลางความท้าทายที่เราเผชิญ เราสามารถรักษาฐานกำไรและยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในโครงการใหม่ ๆ และเร่งสรรหาโรงแรมใหม่ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเครือ” ซีอีโอของ The Standard เผย โดยเสริมว่าตัวเลขการเติบโตในแง่ส่วนแบ่งตลาดเป็นผลจากความแข็งแกร่งของแบรนด์และการที่บริษัทฯ ตัดสินใจรักษาทีมงานทุกคนไว้และเดินหน้าแผนงานต่าง ๆ ทางการตลาดตลอดช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาด
ความแข็งแกร่งของแบรนด์ นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวเลขยอดการจองตรงในโรงแรมในเครือ The Standard อยู่ระดับสูงตลอด โดยเพิ่มจากอัตรา 45% ก่อนโควิดระบาด มาสู่ระดับ 58% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับแบรนด์โรงแรมอิสระ ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลจากการนำเสนอแพคเก็จที่ดึงดูดใจและการสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้มาพักที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลารวมถึงการตลาดแบบฉีกกรอบซึ่งกลายเป็นภาพจำของแบรนด์
มร.อมาร์เสริมว่า แม้ในสภาพเศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤติ The Standard สามารถขยายฐานธุรกิจเครือโรงแรมได้อย่างน่าพอใจในปีที่ผ่านมา “ปัจจุบัน เรามีโรงแรมทั้งหมด 17 แห่งที่เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ The Standard ,Bunkhouse (บังค์เฮ้าส์) และ The Peri Hotel (เดอะ เภรี โฮเทล) โดยในจำนวนนี้ 15 แห่งกลับมาเปิดให้บริการหลังเกิดโควิดระบาด และอีก 21 แห่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
นอกเหนือจากนี้ มีอีกหลายแห่งอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ทำให้เราเป็นหนึ่งในแบรนด์ไลฟ์สไตล์อิสระชั้นนำของโลก” ซีอีโอของ Standard International เผยต่อ
The Standard, Hua Hin ซึ่งเป็นรีสอร์ตติดชายหาดแห่งแรกของแบรนด์ในประเทศไทย จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธันวาคม โดยมีห้องพัก 178 ห้อง
พูลวิลล่า 21 หลัง ติดหาด The Standard, Hua Hin จะเป็นจุดหมายที่ไม่เคยตกยุคสำหรับกลุ่มลูกค้าคนไทยผู้ชื่นชอบการพักผ่อนอย่างสร้างสรรค์และกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับของ The Standard ทั่วโลก
หัวหินเป็นเมืองตากอากาศที่เริ่มจุดหมายของนักเดินทางตั้งแต่พ.ศ. 2454 เมื่อเส้นทางรถไฟเชื่อมกรุงเทพฯ กับภาคใต้เริ่มให้บริการมาถึงเมืองชายหาดแห่งนี้ในช่วงกลางยุค 1920s (พ.ศ.2 463-2473) ก่อนที่จะกลายเป็นเมืองโปรดในช่วงวันหยุดสำหรับชนชั้นสูง ในช่วง 10 กว่าปีหลังจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไป หมู่บ้านประมงเงียบสงบแห่งนี้เปลี่ยนโฉมเป็นเมืองริมทะเลจุดหมายหลักของนักเดินทางโดยยังคงเสน่ห์ดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ทุกวันนี้หัวหินยังเป็นเมืองโปรดในช่วงสุดสัปดาห์สำหรับผู้คนจากกรุงเทพ ฯ ที่รอคอยประสบการณ์แบบที่ The Standard สัญญาว่าจะมอบให้ได้ นั่นคือ รีสอร์ตติดชายหาดที่โดดเด่นมีชีวิตชีวานำเสน่ห์ของหัวหินมาสะท้อนอยู่ในองค์ประกอบต่างๆ ของโรงแรม ภายใต้ความสง่างาม เรียบง่าย และเต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของทำเลอันเป็นที่ตั้งจองโรงแรม เสริมด้วยการนำเสนอที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และความสนุกสนานในแบบสากล
The Standard, Bangkok Mahanakhon จะเป็นโรงแรมแฟล็กชิพของแบรนด์ The Standard ในทวีปเอเชีย จะกลายเป็นแลนด์มาร์กที่น่าตื่นตาตื่นใจของประเทศไทย เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของ คิง เพาเวอร์ มหานคร อาคาร 78 ชั้น ที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของไทยในปัจจุบัน โดยโรงแรมแห่งนี้จะสะท้อนความเป็นเมืองหลวงที่เปี่ยมพลังของกรุงเทพฯ ด้วยห้องพัก 155 ห้อง เพนท์เฮาส์ สระว่ายน้ำริมระเบียง ฟิตเนส ห้องประชุม รวมทั้งบริการอาหารและเครื่องดื่ม และสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนตอนกลางคืน
ตั้งแต่ห้อง The Parlor (เดอะ พาร์เลอร์) ไปจนถึง tea room (ที รูม) และร้านอาหารชื่อดังอย่าง Standard Grill (สแตนดาร์ด กริล) โดยร้านอาหารและบาร์ชั้น 76 แห่งนี้เสิร์ฟความอร่อยพร้อมวิวสุดอลังการของกรุงเทพฯ และเมื่อเพิ่มความสูงขึ้นไปสองชั้นสู่จุดชมวิวบนชั้น 78 ที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนโรงแรมแห่งนี้จะกลายเป็นประสบการณ์สัมผัสเส้นขอบฟ้าที่สมบูรณ์แบบ โดยโรงแรมแห่งนี้กำหนดเปิดให้บริการในปี 2565
The Standard, Bangkok Mahanakhon ออกแบบโดย Jaime Hayon (ไฮเม เฮยอน) นักออกแบบชาวสเปน ร่วมกับทีมออกแบบภายในมือรางวัลของ The Standard โดยโครงการที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นแห่งนี้จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตโฟลิโอของ The Standard เคียงข้างสมาชิกก่อนหน้าที่คว้ารางวัลต่าง ๆ มามากมาย อาทิ The Standard, High Line (เดอะ สแตนดาร์ด ไฮไลน์) และ Standard, London (เดอะ สแตนดาร์ด ลอนดอน) รวมถึงโรงแรมล่าสุดในเครืออย่างThe Standard, Huruvalhi Maldives (เดอะ สแตนดาร์ด ฮูรุวาลี มัลดีฟส์)
“กลิ่นอายความเป็นเมืองใหญ่ของกรุงเทพฯ สอดคล้องอย่างลงตัวกับจุดยืนของ The Standard ในฐานะหนึ่งในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวที่โดดเด่นสร้างสรรค์ที่สุด ที่สำคัญ คิง เพาเวอร์ มหานคร เป็นหนึ่งในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในภูมิภาคนี้ เราจึงรู้สึกภูมิใจและตื่นเต้น อย่างยิ่งที่ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับคิง เพาเวอร์ กรุ๊ป ในการนำเอาความเป็น The Standard มาสู่อาคารที่โดดเด่นระดับนี้ในใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย”