ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “สังคมสูงอายุ” แต่คนไทยกลับตกอยู่ในสภาวะไร้เงินออม อีกทั้งยังวางแผนเกษียณผิดพลาด แล้วเราควรจะวางแผนอย่างไรในวันที่มีกำลัง เพื่อไม่ให้แก่ตัวลงแล้วใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ลองมาฟังเรื่องนี้จาก คุณสมโพชน์ เกียรติไกรวัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทโตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการวางแผนเกษียณจากญี่ปุ่น
ทำไมคนเราต้อง “วางแผนเกษียณ”
คุณสมโพชน์ : สังคมไทยมักบอกว่าแก่แล้วให้ลูกให้หลานเลี้ยง แต่สังคมปัจจุบันครอบครัวเริ่มเล็กลงไม่เหมือนสมัยก่อนที่เป็นครอบครัวใหญ่ ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพก็สูงขึ้น มันก็ต้องเป็นเรื่องที่เราต้องตั้งโจทย์ว่าคนในยุคนี้เมื่อเกษียณอายุแล้วคุณจะอยู่ยังไง
คนชอบคิดว่าการเกษียณ “เป็นเรื่องไกลตัว”
คุณสมโพชน์ : นั่นแหละคือปัญหา!! หลายครั้งที่เราบอกว่าเรื่องเกษียณไกลตัว แต่ในปี 2564 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าจะมีคนไทยที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปถึง 13 ล้านคน คิดเป็น 20% ของพลเมืองประเทศไทย ฉะนั้นถึงบอกว่าเด็กในยุคปัจจุบันจะต้องเข้มเเข็งกว่าอดีต
เพราะต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับการเข้าไปดูแลคนในครอบครัว ถ้าหากวันนึงพ่อแม่เราดูแลตัวเองไม่ได้เราต้องไปช่วยดูแลต่อ ทำให้ต้องเตรียมเงินให้เยอะขึ้น เพราะอะไรที่มัน ฉุกเฉินอาจจะเกิดขึ้นก็ได้ แต่ต้นเรื่องของปัญหาคือคนเหล่านี้ไม่มีการออมเงิน
“การออม” คือหัวใจสำคัญ
คุณสมโพชน์ : สิ่งที่ผ่านมาที่เราไม่ได้ทำมานานเลยก็คือ “การรณรงค์ให้สังคมไทยรู้จักเก็บออม” ถ้าไปบอกให้คนที่ใกล้เกษียณเก็บให้ทันก็คงเป็นเรื่องหนักเหมือนกัน เพราะคงต้องใช้เงินออมขนาดใหญ่ โดยการเกษียณของคนๆ หนึ่งต้องใช้เงินไม่น้อยว่า 3 ล้าน 5 ล้าน 10ล้าน ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้ชีวิต เลยมองกลับมาว่าถึงเวลาที่เราต้องไปรณรงค์กับคนรุ่นใหม่แล้ว
รัฐบาลปัจจุบันนี้ก็ยอมรับว่าออมน้อยลง จนระบบเงินออมในประเทศไทยเกือบจะล้มเหลวแล้ว เพราะคนไทยที่ผ่านมาระยะหลังนั้นเริ่มไม่ค่อยออมเงิน จนกระทั่งระบบเงินออมของประเทศนั้นมันลดลงไปมาก นี่คือสิ่งที่รัฐบาลเองก็พยายามจะสื่อออกไปแต่คนก็ไม่ค่อยสนใจ ถ้าเทียบกันสังคมญี่ปุ่นจะพบว่าคนญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการเก็บออมเงินสูงมาก
ทำไมคนสมัยนี้เก็บเงินไม่ค่อยได้
คุณสมโพชน์ : เพราะคนรุ่นใหม่เติบโตในสังคมที่ถูกชักจูงให้ใช้เงิน ในเรื่องของการใช้จ่าย ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่ทั้งกินทั้งเที่ยว สิ่งล่อตาล่อใจ แล้วบางคนไม่พอไปมีรูดบัตรเครดิตก็มีหนี้อีก เพราะงั้นคนรุ่นใหม่จะมีหนี้เยอะจนไม่ต้องพูดถึงเงินออม มันคงน่าตกใจถ้าเราไม่รณรงค์ให้คนรุ่นใหม่เก็บออมเงินที่คุณได้ในแต่ละเดือนให้มันเกิดประสิทธิภาพ ในการที่จะทำให้คุณอยู่ได้ในอนาคต
เราเห็นหลายคนที่ไม่เก็บออมเงิน ไม่ว่าจะเป็นดารา นักกีฬาดังๆ ที่เคยได้เงินมากมาย ปัจจุบันนี้ล้มละลายไม่มีเงินเก็บออม เพราะที่ผ่านมาได้เงินเยอะแล้วก็ใช้จ่ายจนหมด ผมมองว่าสังคมถึงจุดที่ต้องมาคิดว่าอย่ามองแต่เรื่องความสุข ณ ปัจจุบันทั้งหมด อย่างเราจะไปดูหนังสักเดือนละ 3 เรื่อง ดูสัก 2 เรื่อง หรือเดือนละเรื่องก็ได้ให้มันลดลงหน่อย
ใช้ชีวิตเต็มที่ แต่บั้นปลายชีวิตเต็มทน
คุณสมโพชน์ : เราลองนึกภาพคนสูงอายุแล้วไม่รู้จะพึ่งใคร แต่ถ้าเกิดเขามีเงินในกระเป๋าสักหมื่นสองหมื่นบาทต่อเดือนนั้นเขาอยู่ได้นะ แล้วเราจะทำยังไงให้สังคมไทย คนไทยมีเงินใช้เดือนละสักหมื่นสองหมื่นบาทหลังเกษียณอายุต่อเดือน เพราะลำพังการพึ่งภาครัฐเดือนละ 600 บาทนั้นค่อยข้างลำบาก
การ “วางแผนเกษียณ” VS “ลงทุน”
คุณสมโพชน์ : การลงทุนต่างๆ มันมีความเสี่ยง มีกองทุนไหนที่บอกว่าหุ้นลงแล้วกองทุนยังได้กำไรอยู่เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าเงินอาจจะแบ่งไปลงทุนได้ แต่มันจำเป็นต้องมีการแบ่งเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้วย ถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาต้องไปขายกองทุนไหม แล้วถ้าเกิดเป็นโรคร้ายแรงขึ้นมาก็ต้องเอากองทุนไปขายไหม แต่ถ้าเป็นประกันชีวิตมันครอบคลุมไปทุกเรื่องไม่กระทบกระเทือนกับเงินออม
แต่ถ้าเกิดไปซื้อกองทุนอย่างเดียวนั้นก็มีความเสี่ยง ขณะเดียวกันถ้าเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาระหว่างทาง ก็อาจต้องขายกองทุนเอามารักษาตัวเอง เพราะฉะนั้นการออมมันก็จะไม่ถึงปลายทาง เนื่องจากการออมถูกดึงออกไปก่อนจากสิ่งที่เข้ามาในระหว่างทาง
วิธีวางแผนเกษียณคือต้องแบ่งเงินให้ได้โดยคุณจะเอาเงินไปลงทุนสัก 90% แล้วเอาเงินไปซื้อประกัน 10% ก็ได้นะ ไม่ได้บอกให้เอาเงินทั้งหมดไปซื้อประกันในการซื้อประกันก็มองความจำเป็นว่าต้องการการคุ้มครองสักเท่าไหร่ ที่จะมีเงินเอาไว้ใช้หลังเกษียณสักเท่าไหร่ ส่วนที่เหลือจะไปเล่นกองทุนหุ้นก็ได้
ประกันชีวิตที่ออกแบบมาเพื่อ “การเกษียณ”
คุณสมโพชน์ : ประกันชีวิตเนี่ยหรือการซื้อกรมธรรม์ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนเกษียณอายุอย่าง Pension เป็นการวางแผนเพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับการเกษียณอายุที่ไม่มีความเสี่ยง โดยเป็นการซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับ protection และวางแผนการเกษียณให้กับตัวเอง
ซึ่งการทำประกันชีวิตทำให้ระหว่างที่เราอายุน้อยๆ ก็สามารถออมเงิน รวมถึงมีการ protection เรื่องของการเวลาเสียชีวิต เกิดเจ็บป่วย อุบัติเหตุ โรคร้ายแรง ในระหว่างที่คุณยังทำงานอยู่ และถ้าคุณเสียชีวิตครอบครัวก็ยังได้รับการคุ้มครองจากวงเงินที่มีประกันชีวิต
ในทุกวันนี้โรคภัยไข้เจ็บเยอะเเยะ เราตอบไม่ได้ว่าจะไม่ป่วยเลย ฉะนั้นคนที่อยู่ในวัยทำงานนั้น ยิ่งมีครอบครัวด้วย ยิ่งมีความสำคัญ ต้องทำ เพื่อเป็นการปกป้องครอบครัวและปกป้องตัวเอง
แต่คนไทย “เกลียดประกัน”
คุณสมโพชน์ : ส่วนหนึ่งก็เจอกับการขายในอดีตที่ขายกันไม่ค่อยเคลียร์ หรือขายกันโดยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาซื้อมันเป็นประโยชน์กับตัวเขายังไง ในบางครั้งการประกันในอดีตก็ต้องเรียกว่า “ขอ” ช่วยซื้อหน่อย ก็ทำให้เขาไม่รู้คุณค่า แต่กับตัวแทนของเราตอนไปขายนั้นเราจะพูดเรื่องสินค้าที่เกี่ยวกับการวางแผนการเกษียณอายุต่างๆ เหล่านี้ แล้วกรมธรรม์ก็จะไม่ขาดอายุ
คุณสมโพชน์บอกกับเราว่าสังคมที่น่าอยู่ คนในสังคมจะต้องดูแลตัวเองได้ ถ้าเค้าสามารถที่จะดูแลตัวเองได้ ไปไหนก็ไม่ต้องไปกังวล ถ้าเราก็มีเงินในกระเป๋าแม้จะไม่รวยมากแต่พออยู่พอกินได้ ถ้าคนในประเทศไทยเป็นอย่างนี้ได้สังคมไทยจะมีความสุขมาก และมันต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา ถ้าออมได้ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ดีกว่าไม่ทำ เพราะทำแล้วมันจะนำไปสู่ความรู้สึกที่ดีที่เราเกษียณอายุ