หากเอ่ยถึงตู้เติมเงิน คนกรุงเทพอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะหลายคนเริ่มคุ้นชินกับการใช้จ่ายผ่านโมบายเพย์เม้นท์หรือเดินเข้าสาขาของผู้ให้บริการเครือข่ายในห้างสรรพสินค้า แต่รู้หรือไม่ว่า ธุรกิจตู้เติมเงินมีการใช้งานในกลุ่มคนระดับรากหญ้าและต่างจังหวัดสูงมาก เพราะเติมได้เมื่อต้องการใช้งานและตอบสนองความต้องการใช้งานในช่วงเวลาเร่งด่วน
นายชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม “เติมสบายพลัส” บริษัท เวนดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าให้ฟังว่า ธุรกิจตู้เติมเงินในยุคที่หลายคนมองว่า จะไปรอดหรือไม่ เพราะผู้ให้บริการโทรคมนาคม พยายามที่จะผลักดันให้ลูกค้าใช้งานช่องทางออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้านั้น ทางเติมสบายมั่นใจว่า ตนเองเป็นเบอร์ 2 ในตลาดตู้เติมเงินรองจาก “บุญเติม” ที่ครองแชมป์เจ้าตลาดนี้
“บุญเติมมีอยู่ 130,000 ตู้ เติมสบาย 40,000 ตู้ หากในปีนี้ สามารถเพิ่มจุดตั้งได้อีก 7-8 หมื่นตู้ จะทำให้จำนวนมีสู้กับเบอร์ 1 ได้ไม่ยาก และเราก็ตั้งใจจะมีให้ได้ 3 แสนตู้ทั่วประเทศ”
ทั้งนี้ เติมสบายพลัส มองว่า ข้อดีของตู้เติมเงินคือ ลดการเดินทางไกล ประหยัดและตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนระดับล่างได้ โดยประชากรกลุ่มนี้ถือว่ามีมากกว่าคนเมือง หากต้องการติดป้ายโฆษณาไว้บนตู้ หรือนำสินค้าเข้ามาวางขายในตู้น้ำของเติมสบายพลัส ก็ทำได้ไม่ยาก และสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ได้ดีกว่าการโฆษณาที่เห็นฉาบฉวย
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะใช้การเติมเงินในระบบ Pre Paid ซึ่งเป็นคอร์หลักของธุรกิจโทรคมนาคมที่มีมูลค่าตลาดกว่า 1.1-1.2 แสนล้านบาท และลดต้นทุนด้วยการเลิกผลิตบัตรเติมเงิน ไปใช้สลิปหรือจ่ายเงินออนไลน์แทน แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีคนอีกมากที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการเติมเงินด้วยระบบออนไลน์หรือสลิปที่ให้รหัสมาเติม ซึ่งกลุ่มผู้สูงวัย กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดหรือคนที่มีการศึกษาไม่สูงมาก ยังใช้ช่องทางแบบเดิมนี้อยู่ แม้คนเหล่านี้กำลังซื้อจะไม่สูง แต่ปริมาณมีมาก
นอกจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าการตั้งจุดให้บริการล้อไปกับสาขาใหม่ๆ ของ 7-Eleven ส่วนจะสามารถเข้าไป Replace ตู้ของรายเดิมได้หรือไม่นั้น ต้องอยู่ที่ทาง CP ว่าจะอนุมัติหรือไม่ แต่ยืนยันว่า เติมสบายพลัส เป็นมิตรกับทุกโอเปอร์เรเตอร์ และมีราคาเติมเงินร่วมกับทรูมูฟได้ตั้งแต่ 5 บาท ถือว่าน้อยที่สุดในการใช้จ่ายผ่านช่องทางตู้เติมเงิน
ทางด้านของธุรกิจตู้น้ำกระป๋องหยอดเหรียญ บริษัทมั่นใจว่าเป็นเบอร์ 1 ของธุรกิจนี้ โดยมีจำนวนกว่า 9,000 ตู้ ที่เปิดโอกาสในสินค้าประเภทเครื่องดื่มทุกชนิด เข้ามาให้บริการแก่ลูกค้า กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน มหาวิทยาลัย และได้รับการยอมรับเยอะมาก เพราะสินค้าที่ขายบนตู้ จะจำกัดที่ราคา อยู่ที่ 10-20 บาท บางแบรนด์มีการจัดโปรโมชั่นก็ยิ่งทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทตั้งเป้ารายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท/เดือน
หากแบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการบุกตลาดต่างจังหวัด ไม่ควรมองข้ามช่องทางการขายทั้งตู้เติมเงินและตู้ขายน้ำนี้ เพราะต้องยอมรับว่าการจัดงาน Event ในสถานที่ต่างๆ ตู้เหล่านี้ได้รับความนิยมสูงมาก ยิ่งเป็นสินค้าประเภทอาหารเติมน้ำ เช่น มาม่า โจ๊ก กระป๋อง รวมทั้งน้ำดื่ม กาแฟหรือน้ำอัดลมกระป๋อง ก็ช่วยอำนวยความสะดวก และรองรับความต้องการในช่วงเวลาเร่งรีบได้เป็นอย่างดี เพราะอาจจะรีบกินรีบไปช้อปต่อ หรือรีบกินให้เสร็จและเข้าเรียนคาบต่อไป
นอกจากนี้ การนำตู้ไปวางที่หน้าร้านโชห่วย หรือห้างสรรพสินค้า เมื่อมีคนเห็นก็จะเกิดการจดจำแบรนด์และเมื่อต้องการซื้อมากินจะนึกถึงแบรนด์ของคุณก่อน ทำให้เป็นการสร้างการรับรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่เข้าถึงคนรายย่อย ที่อาจจะไม่ได้เข้าห้างสรรพสินค้า แต่มีความต้องการใช้จ่ายก็ช่วยสร้างโอกาสทางการขายได้เช่นกัน หากทีมโฆษณาสามารถส่งสารให้ถึงคนกลุ่มนี้ได้ ย่อมสร้างโอกาสทางรายได้ใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน