“ถ้าซื้อของแล้วเจอถูกกว่า ยินดีคืนเงิน” ผู้บริหารหนุ่ม ธนากร แซ่ลิ้ม กล่าวเปิดใจกับ thumbsup ในวันที่ไปสัมภาษณ์เขา เพราะอยากขายของถูกและคุณภาพดีให้กับผู้ซื้อ ที่ถึงแม้อีคอมเมิร์ซไทยจะมีการเติบโตจะผูกติดกับเจ้าตลาด แต่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคนไทยอย่าง topvalue ก็มั่นใจว่ามีโอกาสเติบโตในธุรกิจได้เช่นกัน
**กรณียังไม่เปิดใช้สินค้า และไม่ใช่การลดกระหน่ำแบบนาทีทอง
จุดเริ่มต้นการทำธุรกิจ
ก่อนหน้าจะมาทำ topvalue คุณธนากรทำธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับออนไลน์เลย โดยทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์ และแม่พิมพ์บรรจุภัณฑ์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานในส่วนออฟไลน์มากๆ
แต่คิดว่าออนไลน์คือโอกาส เพราะช่วงนั้นเทรนด์การชอปปิ้งออนไลน์ในต่างประเทศเริ่มที่จะเข้ามาแล้ว ทำให้มั่นใจว่าการซื้อขายจะเคลื่อนจากออฟไลน์ไปในออนไลน์แน่ๆ มีการลองผิดลองถูก ในช่วงแรกได้ปั้นตัวเองเป็น Marketplace แต่ก็พบว่าไม่เหมาะกับธุรกิจ เพราะต้องเป็นเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีเงินทุนมหาศาลในการโฆษณาจึงจะทำได้ จนทำให้เขาเปลี่ยนมาจับตลาด B2C แล้วขายสินค้าเอง
โดยตอนนี้เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก พร้อมสโลแกนว่า ” ช้อปเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาคุ้มค่า ที่ topvalue ” ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาคุ้มค่า แต่ว่าถูกกว่าที่อื่น
อีคอมเมิร์ซคือโอกาสขนาดใหญ่
มองว่าอีคอมเมิร์ซนั้นมีโอกาสโตแน่นอน เพราะตลาดมันใหญ่มาก อย่างการที่เมื่อก่อนคนไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า แต่จริงๆ ห้างสรรพสินค้าใช้ต้นทุนสูงมาก ซึ่งอีคอมเมิร์ซเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก หากเมื่อก่อนที่ทำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่ทำเต็มที่แค่ไหนมูลค่าตลาดก็อาจจะมากสุดพันล้านบาท ไม่สามารถขยายไปได้มากกว่านี้แล้วต่างจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ซึ่งเรายังมีโอกาสและคิดว่าควรจะย้ายมาทำธุรกิจด้านนี้ดีกว่า โดยเลือกเข้าสู่การขายออนไลน์แทนการทำห้างสรรพสินค้า เพราะก่อนนี้มีห้างหลายแห่งแล้วที่ทำกันมานานจนเหมือนก่ออิฐมา 50 ปี แต่อยู่ดีๆ ถ้าเรามาเริ่มต้นก็อาจสู้ด้วยยาก ทั้งเรื่องของทุน ประสบการณ์ ทีมงาน แต่ในทางกลับกันการทำออนไลน์เป็นเรื่องใหม่ที่ทุกคนต้องเริ่มต้นเหมือนกัน
ขยับมายืนที่ต้นน้ำ
ย้อนกลับไปธุรกิจที่ทำนั้นอยู่ท้ายไลน์ของวงจร (ธุรกิจบรรจุภัณฑ์) จึงอยากกระโดดมาอยู่ที่ต้นน้ำธุรกิจที่ตลาดใหญ่มากๆ เหมือนเมื่อก่อนเราอยู่ในคลองแล้วอยากโดดไปที่ทะเลสาบ ซึ่งเราก็ต้องหาจุดยืนของตัวเองให้ได้ แล้วเราจะทำให้ลูกค้าอยากมาซื้อเราอย่างไร
เรารู้ว่าการทำออนไลน์มันดี แต่เมื่อก่อนเราทำตัวว่าอยากจะขายไปหมดทุกอย่างซึ่งมันไม่ได้ ทำให้เราต้องมาเรียนรู้ “ธุรกิจการขายเครื่องใช้ไฟฟ้า” ว่าควรซื้อที่ไหน สต็อกอย่างไร เพราะจริงๆ ออนไลน์ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ช่องทาง ถ้าเราคิดว่าออนไลน์คือทุกอย่างก็ปิดประตูเจ๊งแน่นอน (หัวเราะ)
ขายถูกกว่าชาวบ้าน
การทำออนไลน์เป็นแค่หนึ่งช่องทางที่เอาไว้ลดต้นทุน เพราะคนอื่นมีหน้าร้าน เช่าที่ใจกลางเมือง จ้างพนักงานยืนเฝ้า มีที่จอดรถ รปภ. ซึ่งเราตัดทุดอย่างนี้ทิ้งไปหมดแล้วเข้าสู่ลูกค้าเลย อีกอย่างคือพอซื้อเยอะมันก็เลยถูกเลยขายราคาถูกกว่าได้
ถามจริงๆ ว่ามีกี่คนที่เดินเข้าไปในห้างแล้วอยากจะซื้อทีวี มือถือ ทุกวัน แต่การมีหน้าร้านมาพร้อมค่าใช้จ่ายอีกมหาศาล แต่สินค้าเราจะอยู่ที่โกดังเลย และตัดค่าใช้จ่ายส่วนนั้นออกไปมาคืนกำไรให้ลูกค้า เราเลือกขายลูกค้าที่อาจไม่ได้ต้องการบริการหน้าร้านมาก แต่อยากได้ของดีที่ถูกลงไป 40% เหมือนปั๊มน้ำมันบริการตัวเองในต่างประเทศ
จุดสำคัญคือทำเรื่องที่รู้จัก
ที่สำคัญที่สุดคือทำในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ เพราะก่อนหน้านี้ผมทำเครื่องจักมาก่อน มันมีไฟฟ้า เครื่องยนต์ จึงทำให้ผมเรียนรู้ได้ง่าย แต่ถ้าให้ไปขายเครื่องสำอางก็ต้องศึกษาเยอะ ทำงานหนัก คิเว่าเน้นทำที่เราชำนาญดีกว่า เราไม่สามารถสต็อกทุกอย่างไว้ได้ ถ้าซื้อของมาผิดแล้วเก็บไว้นานขายไม่ได้ก็จะเก่าต้องทิ้ง เพราะถ้าขายก็กลับมาเป็นฟีดแบคไม่ดีจนทำให้ลูกค้าเลิกซื้อเราไป
เราจึงตัดสินใจขายสินค้าแบบเฉพาะทาง ซึ่งพอเราทำเฉพาะเหมือนเราทำอาหารเฉพาะอย่าง เหมือนร้านเจ้ไฝที่ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเราก็ได้มิชลินสตาร์เอง แล้วพอคุณชำนาญในด้านนี้ตรงไหนไม่ดีเราก็ปรับปรุง
เราไม่ใช่ “พ่อค้าคนกลาง”
เพราะอินไซต์ลูกค้าสมัยนี้ชอบศึกษาข้อมูลเอง และโลกตอนนี้ก็แคบลงทำให้ผู้ผลิตเจอผู้บริโภคง่ายขึ้น สิ่งที่เราทำคือไม่ใช่การ “เป็นพ่อค้าคนกลาง” แต่จับให้พวกเขาใกล้กันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเป็นแค่ท่อส่งให้ เปรียบเทียบเป็นถ้าคุณอยากดื่มน้ำอัดลมสักกระป๋อง ก็ไม่ต้องวิ่งไปซื้อถึงที่โรงงาน
หรือเรียกง่ายๆ คือเป็นบริษัทกระจายการขนส่งและบริการให้มากกว่า เราไม่ใช่พ่อค้าคนกลาง และปัญหาของการซื้อขายทางออนไลน์ในอดีตคือต้องใช้เวลาในการขนส่งหลายวัน แต่ตอนนี้เราลดให้เหลือ 1 วัน และมีเป้าหมายในการทำให้เหลือครึ่งวันให้ได้ในอนาคต
จุดแตกต่างจาก Marketplace เจ้าใหญ่ๆ อีกอย่างคือคุณภาพทุกอย่างจะถูกควบคุมที่เรา เพราะทุกอย่างอยู่ในสต็อกเราที่สั่งจากโกดังทุกชิ้น และก่อนส่งก็ตรวจถ้าพบว่าผลิตมานานแล้วก็จะส่งของคืนกลับ เหมือนเป็นคนกรองให้ว่าซื้อกับเราแล้วได้ของดี ส่วนขนส่งก็ใช้ทีมตัวเองส่งในกรุงเทพกับปริมณทล (ปัจจุบันมี 10 คันแต่กำลังเพิ่มเรื่อยๆ)
หลักการบริหารทีม
เน้นความชัดเจน และเข้าใจ เพราะต้องทำให้ทีมงานที่เข้ามาใหม่ทุกคนเข้าใจตรงกัน ซึ่งควรสื่อสารให้เข้าใจกัน มีแนวทางชัดเจน ถูกต้อง ถ้าทุกคนทำตามระบบชัดเจนงานก็จะไม่พลาด หรือถ้าพลาดก็ต้องกลับมารื้อที่ระบบกันใหม่ แล้วสร้างให้ทุกคนเข้าใจเหมือนกันว่าอาชีพที่เราทำนั้นน่าภาคภูมิใจ เพราะเราทำสิ่งที่มีความหมาย
ทำให้ลูกค้าได้ของที่ถูกลง สะดวกสบายขึ้น สร้างตัวเลือกเพิ่ม และผมมักพูดอยู่เสมอว่าอาชีพนี้แทบจะไม่มีคนไทยทำแล้ว เพราะส่วนใหญ่มักเป็นต่างประเทศหมด หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ แต่เราเป็นบริษัทที่กำลังเริ่มต้นก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้
เจ้ายักษ์ใหญ่ไม่ใช่คู่แข่ง
เราค่อยๆ เติบโตมาแบบออแกนิกส์ หากย้อนไป 5 ปีที่เเล้วคนไม่กล้าซื้อของแพงๆ ผ่านทางออนไลน์ เพราะคนไทยยังไม่ให้ความเชื่อถือเท่ากับปัจจุบัน เรียกได้ว่าไม่มีใครกล้าซื้อของแพงผ่านทางช่องทางออนไลน์ เนื่องจากมีประสบการณ์ไม่ดีจากการซื้อของแล้วได้ของไม่ตรงตามที่ระบุไว้อย่าง ซื้อโทรศัพท์แล้วได้ก้อนหินมาแทน อย่างเมื่อก่อนบริษัทใช้ระบบเก็บเงินปลายทางหมด แต่ปัจจุบันลูกค้ากล้าตัดบัตรเครดิตโดยตรง
ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เริ่มทำธุรกิจนี้ก่อนก็เหมือนคนใส่ปุ๋ย อย่างพวกบริษัทยักษ์ใหญ่แบบอาลีบาบาก็ทำธุรกิจผ่านมาระยะหนึ่ง จนผู้ซื้อเกิดความเชื่อใจ บอกต่อ ทำให้ต้นไม้อีคอมเมิร์ซนั้นเติบโตยิ่งใหญ่แทนที่จะค่อยๆ โต
ในทางที่จริงแล้วมองคู่แข่งหลักเป็นทางออฟไลน์มากกว่า เพราะการที่ยักษ์ใหญ่เข้าทำให้ช่วยดึงยอดมหาศาลจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ ยิ่งการที่เราเป็นรายเล็กก็ยิ่งได้ประโยชน์ เพราะการที่คนจะมาเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้ามองต่างประเทศจะพบว่าออนไลน์เป็น 52 เปอร์เซ็นต์เเล้ว
คุณธนากรพูดทิ้งท้ายว่าหากมัวแต่คิดว่ามีเจ้าใหญ่มาแล้วถอยก็เหมือนปิดทางตัวเอง เหมือนในอาชีพอื่นถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่มีทางทำอะไรได้ ให้มองจุดยืนของเราว่าอยู่ที่ไหน ให้ใช้วิธีที่เหมาะกับตัวเอง แล้วสู้ด้วยจุดนั้นแทน