ทั้งที่สถิติมากมายชี้ว่าธุรกิจทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับการทำการตลาดบนโซเชียล แต่ความจริงที่น่ากังวลคือบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ติดตามให้ข้อมูลกับลูกค้าอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่นมีเพียง 44% ของคำถามบน Twitter เท่านั้นที่ได้รับคำตอบภายใน 24 ชั่วโมง และบริษัทที่ปรับตัวตอบสนองต่อเสียงตอบรับที่ได้รับจากโซเชียลมีเดีย นั้นมีเพียง 30% เท่านั้น
เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ Invesp.com ได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับกิจกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดียของธุรกิจทั่วโลก โดยอ้างอิงว่า ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ต่างหมดเวลาไปกับการใช้งานโซเชียลมีเดียสูงถึง 22.5% หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 4 ของเวลาที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมโซเชียลมีเดียถึงเป็นกระแสนิยม และถูกใช้เป็นช่องทางในการทำการตลาดทั่วโลกมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับการสำรวจครั้งอื่นๆ ข้อมูลระบุว่ารายได้จากการลงทุนผ่านโซเชียลมีเดียทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้ (2013) มีการประเมินว่ารายได้ที่มาจากการลงทุนผ่านโซเชียลมีเดียจะมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะทำสถิติเพิ่มสูงขึ้นอีกกว่าหนึ่งเท่าตัวเป็น 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2015 โดยแบ่งเป็นการลงทุนในสหรัฐฯ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ รวมกับประเทศอื่นทั่วโลกรวมกันอีกกว่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ในปี 2013 ธุรกิจทั้งขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) กว่า 80% ต่างหันมาให้ความสำคัญในการลงทุนผ่านโซเชียลมีเดียเพิ่มมากขึ้น แต่ก็พบว่าธุรกิจทั้งขนาดกลางและขนาดย่อมอีกบางส่วน (25%) ที่ไม่ให้ความสนใจ โดยยังไม่มีการวางแผนที่จะนำเอาโซเชียลมีเดียมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการทำการตลาดอยู่ในเวลานี้
โซเชียลมีเดียที่เหล่านักธุรกิจและนักการตลาดทั่วโลกต่างให้ความสนใจในการลงทุนมาเป็นอันดับ 1 คือ Facebook/ Twitter (87%) รองลงมาเป็น Youtube/ Linkedin (50%) และ Pinterest/ Google+ (33%) ในขณะที่ 87% ของบริษัทชั้นนำกว่า 100 บริษัท (Fortune 100 companies) ที่ถูกจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์จูนในสหรัฐฯ มีการวางแผนในการลงทุนโดยเลือกใช้การลงทุนผ่านโซเชียลมีเดียอย่างน้อย 1 ช่องทาง โดย Twitter เป็นช่องทางที่รับความนิยมสูงสุดมาเป็นอันดับ 1
แต่ถึงแม้ว่าโซเชียลมีเดียจะนับได้ว่าเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมและมีอิทธิพลในการทำธุรกิจมากแค่ไหนก็ตาม แต่ผลสำรวจก็ยังพบว่ายังมีบริษัทอีกจำนวนไม่น้อยยังคงมองข้ามการใช้งานโซเชียลมีเดีย อีกทั้งยังละเลยต่อการให้บริการลูกค้าผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งผลสำรวจพบว่ามีบริษัทในสหรัฐฯเพียง 30% เท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดีย โดยนำฟีดแบคหรือเสียงตอบรับมาปรับปรุงบริการ
รวมไปถึงยังมีเพียง 44% ของคำถามจากลูกค้าบน Twitter ที่ได้รับการตอบกลับจากบริษัทภายในเวลา 24 ชั่วโมง เท่ากับ 56% ของความเห็นผู้บริโภคที่ส่ง Tweet ถึงบริษัททั้งหลายนั้นถูกเพิกเฉยไปโดยไม่มีการดำเนินการใดๆ
นอกจากนี้ การกระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากมีส่วนร่วมทำกิจกรรมออนไลน์หรือ Call to Action (CTA) ยังมีจำนวนน้อย โดยพบว่าธุรกิจ 26% เท่านั้นที่ใส่ข้อความ CTA ลงในข้อความ Tweet ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่แสดงว่าธุรกิจยังไม่ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมโซเชียลเท่าที่ควร
ที่มา: Visual.ly