หลังจากเปิดขายหุ้นครั้งแรกหรือไอพีโอ (initial public offering) ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ล่าสุดบริการบล็อกสั้นอย่าง Twitter แสดงแนวโน้มเติบโตดีมากจนมูลค่าพุ่งทุบสถิติใหม่ ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อ Twitter สูงมากเพราะยอดจำหน่ายโฆษณาออนไลน์ที่เติบโต
สำนักข่าว Mashable ระบุว่า Twitter มีมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น 8.4% จนสามารถปิดตลาดที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กด้วยมูลค่า 69.96 เหรียญสหรัฐเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากวันที่ 23 ที่มูลค่าเพิ่มขึ้นมาแล้ว 7.5%
เบ็ดเสร็จแล้ว มูลค่าหุ้น Twitter เพิ่มขึ้นมากกว่า 169% นับตั้งแต่เปิดตลาดด้วยมูลค่า 26 เหรียญสหรัฐเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน สะท้อนว่าขณะนี้ Twitter มีมูลค่าตลาดมากกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเหนือกว่าบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Time Warner Cable Inc. และบริษัทค้าปลีกชื่อดังของสหรัฐฯอย่าง Target Corp.
หากจะวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนเชื่อมั่นใน Twitter คำตอบเดียวคือนักลงทุนกำลังวางเดิมพันว่า Twitter จะสามารถทำเงินโฆษณาได้มากกว่าปัจจุบัน โดยเฉพาะบริการโฆษณาบนอุปกรณ์พกพาและโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับรายการทีวี ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ Twitter สามารถโกยเงินจากตลาดอุปกรณ์โมบายได้ทั้งที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook หรือ Google ยังทำได้ไม่ดีนัก
Blake Harper นักวิเคราะห์จากบริษัท Wunderlich Securities Inc. ให้ความเห็นว่า Twitter มีความโดดเด่นเรื่องรายได้ที่เติบโตรวดเร็วเกินกว่า”โซเชียลมีเดียที่ได้ชื่อว่าเติบโตรวดเร็วที่สุด” ดังนั้นนักวิเคราะห์และนักลงทุนจึงเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ Twitter จะสามารถทำรายได้จากการโฆษณาบนอุปกรณ์พกพาและธุรกิจโฆษณารายการทีวีได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนเทเงินหมดหน้าตักเพื่อวางเดิมพันว่า Twitter จะเป็นแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรายต่อไป
อย่างไรก็ตาม Harper กลับแนะนำให้ผู้ถือหุ้น Twitter ขายหุ้นบนเหตุผลว่าหุ้น Twitter กำลังอยู่ในช่วงฟองสบู่ที่ลอยสูงเกินจริง โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า Twitter ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งส่วนตัวของ Harper เชื่อว่ามูลค่าหุ้น Twitter จะอยู่ที่ 34 เหรียญสหรัฐเท่านั้น
สิ่งที่เราจะได้จากข่าวนี้ คือการรับทราบความคิดเห็นของนักลงทุนชั้นนำ ที่มองว่า Twitter จะเป็นแพลตฟอร์มโฆษณาสำคัญของโลกอนาคต ซึ่งจะเป็นจริงหรือไม่ ปี 2014 และปีถัดๆไปจะบอกให้เรารู้เอง
ที่มา : Mashable