สถิติน่าสนใจจากผลประกอบการไตรมาส 4 ของ Twitter พบว่ารายได้รวมนั้นสูงขึ้น โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจโฆษณาที่มากขึ้นชัดเจน ทั้งหมดนี้สวนทางกับฐานผู้ใช้รายเดือนที่ลดลง
6 สถิติจากผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของ Twitter ได้แก่ :
– รายรับรวม Twitter ตลอดช่วงปลายปีคือ 909 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน
– รายรับจากโฆษณามีมูลค่ารวม 791 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 23% ต่อปี
– รายได้เฉพาะในสหรัฐฯ สูงกว่า 506 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 24% ต่อปี
– รายรับจากต่างประเทศ อยู่ที่ 403 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 24% ต่อปี
– จำนวนผู้ใช้ที่สามารถสร้างรายได้ให้ Twitter เฉลี่ยต่อวัน (mDAU : Average monetizable daily active users) คือ 126 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9% ต่อปี
– ผู้ใช้งานรายเดือน (MAU) มีจำนวนทั้งสิ้น 321 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3% ต่อปี แต่ลดลง 5 ล้านคนจากไตรมาสที่ 3
แม้ว่าตัวเลขไตรมาส 4 ของ Twitter จะไม่เลว แต่หุ้นของ Twitter ดิ่งลงทันที 7% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Twitter ประกาศจะหยุดการรายงานตัวเลขผู้ใช้รายเดือนหรือ MAU แล้วยืนยันว่าจะรายงานตัวเลข mDAU แทน
Twitter เปิดเผยในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นโดยยืนยันว่า mDAU ที่สร้างรายได้และการเติบโตที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวัดความสำเร็จของ Twitter เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นผู้ใช้ Twitter ที่เข้าสู่ระบบและเข้าถึง Twitter ผ่าน twitter.com หรือแอปพลิเคชัน Twitter ซึ่ง Twitter สามารถแสดงโฆษณาได้ทั่วถึง
mDAU ของ Twitter ไม่สามารถเทียบเคียงกับ mDAU ของบริษัทอื่น ซึ่งหลายรายนับรวมผู้ใช้ที่ไม่เห็นโฆษณาลงไปด้วย ดังนั้น Twitter จึงต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเปิดเผยข้อมูลผู้ใช้ โดยจะไม่เปิดเผยจำนวนผู้ใช้รายวันแบบเหมารวม แต่จะเลือกจัดกลุ่มเฉพาะผู้มีส่วนได้เสียให้ครอบคลุมแบบเข้มข้น ซึ่งจะสะท้อนถึงเป้าหมายของ Twitter ในการมอบคุณค่าให้กับผู้ใช้
Twitter ย้ำว่าได้ทดลองใช้ mDAU เป็นตัวชี้วัดเพื่อแสดงขนาดของผู้ชมตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลการทดสอบที่ดีทำให้ Twitter จะหยุดการเปิดเผยตัวเลข MAU หลังจากไตรมาส 1 ปี 19 เป็นต้นไป
Twitter มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อนักโฆษณาที่จะมาทำแคมเปญบน Twitter เนื่องจากบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามวัตถุประสงค์ของแคมเปญได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นบน Twitter
ในภาพรวม Twitter กล่าวว่าคาดว่ารายรับรวมไตรมาส 1 ปี 2019 จะอยู่ระหว่าง 715-775 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ที่มา: : FastCompany