จะเกิดอะไรขึ้นถ้ารายการ Podcast ที่เราเคยฟังประจำ ไปอยู่ในโรงหนัง และสร้างประสบการณ์ฟังการจัด Podcast สดๆ บนเวที พร้อม Visual ที่ทำให้เราอินไปได้มากกว่าเดิม !!
ถือเป็นโมเดลใหม่ที่น่าสนใจ เมื่อ Mango Zero ประกาศจับมือกับ Salmon Podcast และ SF Cinema จัดอีเวนต์ในชื่อ UNTITLED CASE Mystery in Cinema หรือชื่อไทยว่า ลี้ลับลงโรง “ทฤษฎีสมคบคิด เรื่องลึกลับ สัตว์ประหลาด ฆาตกรรม ความลี้ลับที่หาสาเหตุไม่ได้ และเรื่องเล่าจากเคสจริง…ที่จะน่ากลัวกว่าทุกครั้ง”
จากพอดแคสต์เรื่องลึกลับอันดับหนึ่ง สู่อีเวนต์ Podcast Live Performance ครั้งแรกของไทย กับการจัดพอดแคสต์สดๆ ถึงในโรงภาพยนตร์ MASTERCARD CINEMA ที่ SF World Cinema ชั้น 9 เซ็นทรัลเวิลด์
ถือเป็นการพลิกโมเดลจาก Publisher ไปสู่อีเวนต์ แถมยังไปจัดกันในโรงหนังอีกด้วย วันนี้เราลองมาฟังที่มาที่ไปของโปรเจ็คนี้ และการต่อยอดในอนาคตอันใกล้
มาเจอกันได้อย่างไร
คุณบัดดี้ : ผมเป็น Brand Manager ของ SF Cinema ครับ ดู Branding ทั้งหมดของ SF แล้วก็ Collaboration Project ต่างๆ ของ SF กับแบรนด์อื่นๆ ซึ่งตอนนี้มีแบรนด์อย่าง karmakamet และกำลังจะร่วมงานกับ Global Brand ที่จะเปิดตัววันที่ 3 นี้ครับ
คุณโจ้ : โจ้ นทธัญ แสงไชย ตอนนี้เป็น Station Director อยู่ที่ Salmon Podcast ดู Direction ทั้งหมดของพอดแคสต์ Salmon ครับ ดูรายการ ภาพลักษณ์ของสถานี รวมถึงจัดการการทำงานทั้งหมด รวมถึงโปรเจ็กต์ของการ Collab ต่างๆ เหล่านี้ด้วยครับ
คุณแซม: แซม เป็นบก.อยู่ที่ Mango Zero ครับ
จุดเริ่มต้นของการร่วมมือกันระหว่าง Mango Zero และ Salmon Podcast?
คุณแซม : ต้องบอกก่อนว่าพอดแคสต์ไม่เคยถูกนำมาเล่าในโรงหนังเลย ผมกับทีม GetTalks ที่ทำยูธูปมีไอเดียมานานแล้ว และได้คุยกับบัดดี้ว่าอยากลองทำเล่าเรื่องผีในโรงหนัง แต่รายการปิดไปก่อน ทีนี้เรายังมีก้อนไอเดียนี้อยู่ ประกอบกับเคยทำอีเวนต์หลายๆ อย่าง คอนเสิร์ตก็เคยทำ งาน iCreator ก็เคยทำ ก่อนหน้าที่จะทำพอดแคสต์ก็เคยทำอีเวนต์พอดแคสต์เล็กๆ ของเราเอง
ก็เลยคิดว่าการจัดอีเวนต์จะสามารถดึงกลุ่มคนที่สนใจเราจริงๆ แล้วก็คาดเดาว่าจะมีคนมาแน่ๆ เลยไปคุยกับทางบัดดี้และโจ้ ซึ่งบัดดี้ก็มีไอเดียอยากจัด Meeting พอดี เพราะอยากสร้างประสบการณ์ในโรงหนัง โจ้เองก็มีไอเดียนี้ พอทุกอย่างมันลงล็อก สิ่งที่เราช่วยเราได้คือการมีประสบการณ์ทำอีเวนต์ มาช่วยกันในการประกอบสร้างสิ่งใหม่
Untitled Case เกิดมาจากอะไร?
คุณโจ้ : เป็นรายการในล็อตแรกของ Salmon Podcast ในตอนแรกพอดแคสต์มีภาพลักษณ์ค่อนข้างจริงจัง จนคนเริ่มเข้าใจว่าพอดแคสต์คือการที่คนนั่งคุยกันในเรื่องจริงจัง ทั้งในเรื่องการทำงาน เรื่องการพัฒนาตัวเอง ซึ่งเรารู้สึกว่าจริงๆ พอดแคสต์จะเป็นอะไรก็ได้เลยตั้งสโลแกนว่ามันส์ สด อร่อย เพราะอยากให้พอดแคสต์ให้ความสนุกมากขึ้น
ก็เลยทำพอดแคสต์เล่าเรื่องลี้ลับ มีน้องยชญ์ บรรพพงศ์ ที่เป็นโฮสต์ Untitled Case จริงๆ ยชญ์มาคุยกับพี่วิชัยว่าอยากทำรายการลี้ลับ ตอนนั้นมียูธูปอยู่ เลยไม่เอาเรื่องผีแล้ว แต่ทำเป็นรายการเล่าเรื่องฆาตรกรรมต่างประเทศดีกว่า เรื่องลึกลับต่างๆ ยชญ์เลยไปชวนธัญมาทำด้วย ตอนนี้เดือนนึงมี 4 ตอน ยอดดาวน์โหลดอยู่ที่ประมาณ 15,000 ดาวน์โหลดครับ
ผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทำให้เปลี่ยนโรงหนังให้เป็นพื้นที่กิจกรรมอื่นๆ?
คุณบัดดี้ : จริงๆ กระทบเยอะมาก พวกหนัง Hollywood เลื่อนฉายกันหมดเลย ทั้งปี 2020 ถึง 2022 ทำให้เรามองว่าโรงหนังต้องเป็นมากกว่าโรงหนัง และเปลี่ยนคอนเซ็ปต์จากที่เราเป็นแค่โรงภาพยนตร์ให้มองเป็น Community แทน เป็นเหมือนที่ๆ นึงที่คนสามารถมาใช้บริการได้มากกว่าแค่ซื้อตั๋วแล้วก็มาดูหนัง ก็เลยเปลี่ยน Mindset ทุกอย่างใหม่หมดว่าจะทำยังไงให้หาคอนเทนต์เข้ามาเติมเต็มในตัวโรงหนังได้
จริงๆ มันเริ่มมาจากคอนเสิร์ตก่อนครับ พี่ว่านธนกฤต มาคุยกับทีมเราว่าอยากจัดคอนเสิร์ตในช่วงโควิด เราก็เลยโอเคเราจะหาวิธียังไงให้ใช้ตัวโรงหนังมาเนรมิตเป็นคอนเสิร์ตได้ พอมันเกิดขึ้นมันก็เป็นคอนเสิร์ตตัวแรกในช่วงโควิค
เลยเป็นจุดประกายให้กับหลายคนว่าจริงๆ งานมันจัดได้ แต่จัดยังไงให้ถูกต้อง เราก็เลยปรึกษากับเขตและทีมต่างๆ ว่าทำยังไงให้ทั้งคนที่เข้ามาใช้พื้นที่และทีมงานปลอดภัยที่สุด นอกจากนั้นก็มีวงแคลช, ยืนเดี่ยว, Untitled Case แล้วก็เดี๋ยวก็จะมีเข้ามาอีกพอสมควรระหว่างที่เราไม่มีหนังบล็อกบัสเตอร์เข้ามาครับ
โครงสร้างการทำงานของ SF ครอบคลุมทั้งสถานที่และระบบการจองตั๋วอยู่แล้ว ช่วยให้การจัดการง่ายขึ้นไหม?
คุณบัดดี้ : ตัวระบบจองตั๋วหนังเราทำมาค่อนข้างนานแล้วเลยมีระบบที่ค่อนข้างเสถียรมาก ทำให้เวลามีงานอะไร เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันทีเลย ส่วนนึงคือเราค่อนข้างค่อนข้างห่วงเรื่องประสบการณ์การใช้งานของลูกค้ามาก ถ้าคนเข้ามาในแอปฯ แล้วเนี่ยต้องสะดวกรวดเร็ว ง่าย ต้องเจอปัญหาให้น้อยที่สุด
เราก็เลยให้เสนอกับทางนี้ไปว่าซื้อตั๋วกับพวกเราดีกว่า ที่นั่งก็เป็นโรงหนังอยู่แล้ว แค่ปรับมาฉาย Untitled Case แทน และทีมที่เข้ามาดูทั้งหมดก็ค่อนข้างเห็นการจองที่นั่งแบบเรียลไทม์ ซึ่งสะดวกกับทั้งทางทีมงานและลูกค้าที่ซื้อตั๋ว
โปรเจ็กต์เกิดขึ้นช่วงโควิดพอดี มีกระบวนการทำงานกันอย่างไร?
คุณโจ้ : โปรเจ็กต์นี้เราประชุมผ่าน Zoom เกือบตลอดเวลาเลย ดีที่ได้พาร์ทเนอร์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆ ที่มาช่วยซัพพอร์ต อย่าง SF เองก็มีระบบจองตั๋ว มีทุกอย่างครบอยู่แล้ว ทาง Zero เองก็เชี่ยวชาญด้านการจัดอีเวนต์ ความกังวลส่วนมากของทาง Salmon เลยมาตกอยู่ที่ตัวคอนเทนต์ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ทำพอดแคสต์ไปอยู่บนเวที เป็น Live Performance ขึ้นมา ทำให้รู้สึกว่ามันต้องเป็นประสบการณ์ใหม่ที่จะทำให้ผู้ชมได้อะไรมากกว่าการฟังพอดแคสต์ที่เขาชื่นชอบ
ผมรู้สึกว่าตอนที่ทำคอนเทนต์ On Stage ขึ้นมามันต่อยอดมาจากตอนที่ช่วง Untitled Case ออกหนังสือแล้วมีงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เราเห็นว่าคนไปต่อแถวขอลายเซ็น Untitled Case เยอะมากจนเรารู้สึกว่าคนมันหิวการมาเจอกัน เพราะโควิดมันทำให้เราเจอกันแต่ออนไลน์ เราเจอกันแต่เสียง
เลยคิดว่าน่าจะเป็นจังหวะที่ดีที่จะจัดงาน Meeting ขึ้นมาสักงาน ประจวบเหมาะกับการที่แซมกับพี่เอ็มมาชวนพอดี ผมรู้สึกว่าถ้าอย่างนั้นเราจัดงานอะไรให้คนเข้ามาชมดีกว่า จริงๆ เรามี Untitled Club ที่มีสมาชิกอยู่ประมาณ 4,000 คน คนเหล่านี้แอคทีฟกันมากเลย เรารู้สึกว่าเขาอยากจะมาเจอกัน อยากจะมาเจอโฮสต์เรา เลยคิดว่างานนี้มันเป็นไปได้
ก่อนหน้านี้ GetTalks เคยจัดอีเวนต์มาก่อน อยากให้เล่าประสบการณ์ให้ฟังหน่อย
คุณแซม : จริงๆ ผมจัดอีเวนต์พอดแคสต์มา 2 ครั้ง ครั้งแรก คือ TK Park ที่ Central World ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พอดแคสต์ยังเป็นกลุ่มน้อยๆ ก็จะมีกลุ่มคนฟังที่ติดตามหลายๆ รายการอยู่ พอรวมกันมันก็มีคนมากกว่าหลักร้อยคนที่ฟังรายการพอดแคสต์ ก็เลยชวนเพื่อนๆ ที่ทำพอดแคสต์ด้วยกัน มี พี่หนุ่ม โตมร, แชมป์ ทีปกร, พี่แทนไท WiTcast มี JUST ดู IT. มาจัดงาน และเป็นครั้งแรกที่คนจัดรายการมาเจอกับคนฟังที่เราไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน รูปแบบของอีเวนต์ตอนนั้นคือเรามาจัดรายการกันสดๆ ในท็อปปิกที่เราจัดขึ้นมา
สุดท้ายแล้ววันที่จัดรายการไฟล์เสียงจะถูกเอาไปลงในพอดแคสต์อีกทีนึง ตอนนั้นผมเชิญอีกคนนึงที่เป็นปูชนียบุคคลของวงการพอดแคสต์ไทย รายการช่างคุย มีหลายคนมา แล้วคนจัดรายการหลายคนเป็น Creator, Influencer ก็มาจัดรายการร่วมกับเรา พอมีกลุ่มคนที่ติดตามเขาอยู่แล้ว พอมีพอดแคสต์คนก็ตามมาฟังมากขึ้น เราเลยจัดอีเวนต์เล็กๆ ชื่อว่า GetTalks Festival จัดที่บาร์แห่งหนึ่งที่นานา ที่นั่งประมาณ 100-200 คน เลยจัดโชว์ขึ้นมา
มีขายบัตรผ่าน Ticketmelon แต่ธีมบนเวทีเปลี่ยนใหม่ โดยการเอา 2 รายการมาจับฉลาก มาเจอกันในท็อปปิกเดียวกัน มันทำให้เราได้เห็นเคมีของ 2 รายการที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งสนุกและคนก็ชอบมาก ตอนนั้นติดเทรนด์ทวิตเตอร์ด้วย
พอดแคสต์สามารถเป็นได้มากกว่าการสื่อสารทางเดียว?
คุณโจ้ : มันสามารถทำเป็นโชว์ได้ ผมใช้โมเดลเดียวกับ Stand-Up Comedy เพียงแต่ผมไม่ได้ยืนเล่าคนเดียว มีคนอื่นมาเล่าด้วย แต่การเล่าเรื่องก็ไม่ใช่เล่าไปเรื่อย มันต้องมีสคริปต์ มีโครงระดับนึงแล้วที่เหลือไปอิมโพรไวซ์อีกที แล้วก็มีการรีแอคกับผู้ชมได้ด้วย
SF มีประสบการณ์ทั้งการจัดคอนเสิร์ต ครั้งนี้ก็ได้มีโอกาสทำอีเวนต์พอดแคสต์ ตอนนี้มองอนาคตของโรงหนังไว้อย่างไรบ้าง?
คุณบัดดี้ : อย่างที่บอกว่าพอเจอโควิดทำให้วิธีคิด วิธีทำงานเปลี่ยนไปหมดเลย เรามองเราเป็นพื้นที่ๆ สามารถเป็นได้มากกว่าการเอาหนังมาฉาย อาจจะเป็น Event Space ที่หลายๆ แบรนด์สามารถมาทำได้ ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์แนวไหนก็สามารถมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งหมด คอนเสิร์ตก็เป็นอีกอีเวนต์นึงที่ทำให้เรารู้ว่าศักยภาพของโรงเรามันไปได้ไกลมาก
เดี๋ยวในงาน Untitled Case จะยิ่งเห็นว่ามันค่อนข้างยิ่งใหญ่ ทีมที่มาทำก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญ ปกติผมฟังพอดแคสต์มานานแล้ว ทั้งของ Salmon และ GetTalks เลยมองว่าแค่ฟังอย่างเดียวก็สนุกมากแล้ว แต่พอมาเป็นอีเวนต์จริงๆ มันจะสนุกขนาดไหน เลยคิดว่าการเอาโรงหนังมาทำอะไรแบบนี้น่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ชม พอทำกับพี่ๆ ทั้ง 2 คน เลยคิดว่าประสบการณ์ต้องยิ่งไปได้ไกลมากๆ ครับ
คนดูจะได้อะไรบ้าง คิดว่าจากงานนี้ทำให้มองอนาคตได้อีกหนึ่งก้าวไหม?
คุณโจ้ : ทาง Salmon เองก็ไม่เคยจัดงานแบบนี้มาก่อน มันน่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ของคนฟังแน่นอน นี่จะเป็นครั้งแรกที่คุณไปอยู่ในโรงหนัง ฟังโฮสต์เล่าพอดแคสต์สดๆ พร้อมมีภาพประกอบ แสง สี เสียง เต็มอรรถรสมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกว่ามีคนที่ชอบสิ่งๆ เดียวกันกับเรามานั่งฟังด้วยกันเป็นร้อยๆ คน ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่างานนี้จะเป็นยังไง มันจะสร้างแรงอะไรขึ้นมาในวงการพอดแคสต์ได้อีกบ้าง
จริงๆ ผมดูตัวอย่างมาจากยูธูปด้วย Untitled Case ก็มีความเป็นลูกเป็นหลานยูธูปเลยล่ะ เรามองว่าพอดแคสต์มันสร้าง Community ขึ้นมา แล้วมันสร้างให้โฮสต์กลายเป็น Influencer ได้ ไม่ว่าคนนั้นจะมาจากศูนย์ก็ตาม เพราะการที่คอนเทนต์มันดี ทำให้คนติดคอนเทนต์และรู้จักไปโดยปริยาย จริงๆ ซึ่งมันก็เหมือนกับการทำค่ายเพลง ปั้นศิลปินขึ้นมา เราอาจจะขายของลงในเพลงก็ได้ ในโปรดักก็ได้ ต่อยอดไปได้อีกเรื่อยๆ เลยครับ
ฝากผลงาน
คุณแซม : จริงๆ เรามีความฝันที่จะเห็นรายการลึกลับในโรงหนัง แต่ทำไม่ได้ แล้วมีช่วงนึงที่มันทำได้ เลยส่งต่อความฝันเล็กๆ ดันไม่ว่าจะเป็นรายการอะไรก็ตามให้มันเกิดขึ้นได้ Salmon คือตัวอย่างของ Station Podcast ที่ไม่ได้หยุดแค่เรื่องของเสียง ส่วน SF ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่แค่ฉายหนังอย่างเดียว แต่ทำอย่างอื่นได้เยอะมาก
ซึ่งตอนนี้ก็เกิดขึ้นแล้วคือการทำคอนเทนต์เสียงที่เราเคยฟังให้กลายเป็นโชว์ๆ นึงได้ มันแปลกใหม่และน่าสนใจมากๆ ทำให้รู้ว่าคอนเทนต์มันไปได้ไกลกว่านั้นที่โรงหนังมันทำได้มากกว่าการดูหนัง
คุณบัดดี้ : ก่อนอื่นต้องบอกว่าทาง SF แฮปปี้มากๆ ที่ได้ร่วมงานกับทั้งทาง Salmon และ Mango ทุกคนที่พลาดงานนี้ไปไม่เป็นไร ในอนาคตอาจจะมีงานเร็วๆ นี้ เรามองเห็นว่าตัวพอดแคสต์จากที่มันเป็นแค่เสียง แต่ทีม Salmon กับ Mango สามารถเนรมิตให้มันยิ่งใหญ่ในโรงหนังได้ เราอยากให้ทุกคนที่มีโอกาสได้มาลองที่ SF ว่าประสบการณ์การฟังพอดแคสต์มันไปได้ขนาดไหน
คุณโจ้ : ฝากสองเรื่องแล้วกันครับ เรื่องแรกก็คือตัวโชว์ Untitled Case Mystery in Cinema อันนี้ลงโรงวันที่ 28 นี้ เป็นโชว์ที่ตั้งใจมากๆ เรารู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี อีกอย่างยชญ์กับธัญจะไม่รู้เรื่องของกันและกันเลย เหมือนตอนที่เราทำพอดแคสต์เลย คือจะไปรู้หน้างานตอนอัดเลย เพราะฉะนั้นรีแอคที่เกิดขึ้นในงานจะสดใหม่มากๆ
อีกอย่างนึงก็คือแบรนด์ไหนที่กำลังมองว่าพอดแคสต์สามารถทำอะไรได้บ้าง ผมมองว่างานนี้เป็นตัวอย่างได้ดีที่จะทำให้เห็นว่าพอดแคสต์ทำอะไรได้บ้าง และผมเชื่อว่าพอดแคสต์มีพื้นที่และอิสรภาพที่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีก ในขณะที่เรากำลังค้นหากันอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีอะไรที่อยากทำและหามันเจอหรือเปล่า ก็ต้องลองคุยกันดูครับ