Site icon Thumbsup

VGI ใช้เงินร่วม 4,600 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น PLAN B 18.6% หวังครองตลาดสื่อนอกที่อยู่อาศัย

อีกหนึ่งดีลใหญ่สะเทือนตลาดสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย เมื่อ VGI เข้าซื้อหุ้น PLAN B 18.6% มูลค่าร่วม 4,600 ล้านบาท หวังครองและผลักดันส่วนแบ่งทางการตลาดดังกล่าวที่มีอยู่ 70 เปอร์เซ็นต์ร่วมกัน

บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) (VGI) อนุมัติการเข้าลงทุนใน บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) (PLAN B) ด้วยการเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PLAN B จำนวน 352,960,736 หุ้น และซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม 4 รายจำนวน 368,843,969 หุ้น (คิดเป็น 9.5 เปอร์เซ็นต์) ได้แก่

  1. บริษัท แพลน บี อินเวสเม้นท์ โฮลดิ้ง จำกัด ขายไป 115,271,379 หุ้น คิดเป็น 2.97 เปอร์เซ็นต์
  2. บริษัท เอ๊าท์ดอร์ มีเดีย อินเวสเม้นท์ จำกัด ขายไป 182,742,964 หุ้น คิดเป็น 4.71 เปอร์เซ็นต์
  3. ดร.พินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ ขายไป 12,591,104 หุ้น คิดเป็น 0.32 เปอร์เซ็นต์
  4. พีที อีลัง มาโคตา เทคโนโลยี ทีบีเค ขายไป 58,238,522 หุ้น คิดเป็น 1.50 เปอร์เซ็นต์

รวมเป็นหุ้นของ PLANB ที่จะได้มาทั้งหมดจำนวน 721,804,705 หุ้น (คิดเป็น 18.59 เปอร์เซ็นต์) คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4,619,550,112 บาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นเดิมจะเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ 27 มีนาคม 2562 โดยโครงสร้างผู้ถือหุ้นใน PLAN B 10 อันดับแรกจะเปลี่ยนไปดังนี้

  1. นายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ – มี 1,004,068,100 หุ้น – คิดเป็น 25.86 เปอร์เซ็นต์
  2. บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) – มี 721,804,705 หุ้น – คิดเป็น 18.59 เปอร์เซ็นต์
  3. บริษัท แพลน บี อินเวสเม้นท์ โฮลดิ้ง จำกัด – มี 216,063,140 หุ้น – คิดเป็น 5.56 เปอร์เซ็นต์
  4. นายพินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ – มี 140,509,379 หุ้น – คิดเป็น 3.62 เปอร์เซ็นต์
  5. CLSA LIMITED – มี 186,036,925 หุ้น – คิดเป็น 4.79 เปอร์เซ็นต์
  6. กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว – มี 152,692,900 หุ้น – คิดเป็น 3.93 เปอร์เซ็นต์
  7. นายสุชาติ ลือชัยขจรพันธ์ – มี 108,280,000 หุ้น – คิดเป็น 2.79 เปอร์เซ็นต์
  8. กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว – มี 75/25 79,631,000 หุ้น – คิดเป็น 2.05 เปอร์เซ็นต์
  9. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด – มี 78,339,549 หุ้น – คิดเป็น 2.02 เปอร์เซ็นต์
  10. กองทุนเปิด เค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล – มี 78,024,000 หุ้น – คิดเป็น 2.01 เปอร์เซ็นต์

ซึ่งปรากฎการณ์การร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ VGI มีกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นเข้ากับแพลตฟอร์มทางธุรกิจเพื่อสร้างโอกาสผลักดันการเติบโต โดยคาดหวังที่จะรวบส่วนแบ่งการตลาดสื่อโฆษณานอกบ้านกว่า 70 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ VGI ยังได้เข้าทำสัญญาความร่วมทางธุรกิจ กับ PLAN B เพื่อพัฒนาสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำและวัดผลได้ชัดเจน, จัดหาและบริหารจัดการทรัพยากรสื่อโฆษณาร่วมกัน (Joint Sourcing) และหาแนวทางเพื่อดำเนินการทางการตลาดร่วมกัน เช่น การ Cross-Selling สื่อโฆษณาให้แก่ลูกค้า และ/หรือการซื้อขายสื่อโฆษณาระหว่างกันอีกด้วย

มีแค่ธุรกิจทับซ้อนกันแค่บางอัน

VGI มุ่งเน้นธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านครอบคลุมแค่ 3 กลุ่มสื่อ คือ

  1. สื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน (โครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส และโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย) โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ สื่อมัลติมีเดีย (Multimedia) และสื่อภาพนิ่ง (Static)
  2. สื่อโฆษณาในอาคารสำนักงานและในที่พักอาศัย ซึ่งธุรกิจสื่อโฆษณาของ VGI

ซึ่งทาง VGI ระบุว่าการลงทุนในหุ้น PLAN B จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในเชิงกลยุทธ์ให้กับทั้งสองบริษัทผ่านการรวมเครือข่ายและรูปแบบของสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย (Out of Home Media) และก่อให้เกิดประโยชน์อื่นๆ ดังนี้

ส่วน PLAN B ประกอบธุรกิจให้บริการ และผลิตสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 7 ธุรกิจหลักดังนี้

  1. สื่อโฆษณาบนระบบขนส่งมวลชน (Transit Media) โดยเน้นสื่อโฆษณาภายนอก และภายในรถโดยสารประจาทางปรับอากาศ
  2. สื่อโฆษณาภาพนิ่ง (Static Media)
  3. สื่อโฆษณาดิจิทัล (Dynamic Media)
  4. สื่อโฆษณาภายในห้างสรรพสินค้า (Mall Media)
  5. สื่อโฆษณาภายในซุปเปอร์มาร์เก็ต (In-Store Media)
  6. สื่อโฆษณาภายในสนามบิน (Airport Media)
  7. สื่อโฆษณาออนไลน์ (Online Media)

ส่วนเหตุผลที่ PLAN B อนุมัติดีลครั้งนี้ก็เพราะมองว่า “ธุรกิจสื่อโฆษณาของ VGI ไม่ได้มีลักษณะทับซ้อนหรือแข่งขันกันกับบริษัทแต่อย่างไร” และบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของ VGI ประกอบธุรกิจที่ใกล้เคียงกันหรือแข่งขันกันกับบริษัทบางอย่างเท่านั้น