อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีอยู่ว่าปัจจุบันสมาร์ทโฟนนั้นเป็นอุปกรณ์พกพาที่แทบทุกคนต้องมี และสมาร์ทโฟนนั้นยังจัดว่าเป็นของใช้ส่วนตัวที่ผู้ใช้งานส่วนมากมักจะหวงแหน ทำให้แนวโน้มการต่อต้าน หรือหลีกเลียงข้อความต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์บนสมาร์ทโฟนจึงมีสูงขึ้นตามไปด้วย
สำหรับการโฆษณาแบบ Video Ad นั้นนอกจากจะเป็นเนื้อหาประเภทที่ต้องการทั้งเวลา และความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างมากแล้ว ในบางครั้งในการชมโฆษณาเหล่านั้นอาจทำให้พวกเขาต้องจ่ายเงินเพิ่มหากพวกเขาชมมันบน 3G/4G อีกด้วย แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ยินยอมที่จะชม Video Ad เลยซะทีเดียว ถ้าการชมโฆษณาเหล่านั้นทำให้พวกเขาจำเป็น หรือมีผลประโยชน์หลังจากการชมวิดีโอนั้นๆ
จากการเก็บข้อมูลของ Rhythm NewMedia เมื่อไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมาพบว่า 44% ของผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเผยว่าพวกเขายินดีที่จะชมโฆษณาประเภท Video Ad หากพวกเขาต้องการชมเนื้อหาแบบพรีเมียมอื่นๆ หลังจากนั้น อย่างเช่น คลิปของรายการโทรทัศน์แบบเต็มตอน
แต่จากสภาพการณ์ในปัจจุบันดูเหมือนว่าผู้บริโภคส่วนมากจะยังไม่นิยมชมชอบโฆษณาประเภท Video Ad แต่อย่างใด เพราะจากการเก็บข้อมูลโดย PricewaterhouseCoopers พบว่ามีผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในสหรัฐฯ เพียง 12% เท่าที่จัดให้โฆษณาประเภท Video Adsเป็นรูปแบบโฆษณาที่พวกเขาชื่นชอบ ในขณะที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในสหรัฐฯส่วนมากยังคงนิยมโฆษณาประเภทแบนเนอร์ หรือคูปองเนื่องจากพวกเขาสามารถเลี่ยงได้ และโฆษณาเหล่านั้นยังให้ผลตอบแทนแก่พวกเขา
สาเหตุที่โฆษณาประเภท Video Ad ไม่ได้รับความนิยมมากนักนั้นอาจมาจากการใช้ข้อมูลบน 3G/4G ที่มากขึ้นของผู้ใช้งานในการชมโฆษณานั้นๆ แน่นอนว่าน้อยคนนักที่จะรู้ยินดีที่จะชมโฆษณาเหล่านั้นทั้งที่ตัวเองต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างแน่นอน
และนอกจากนี้การชมวิดีโอผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตนั้นยังไม่สามารถให้ประสลการณ์การรับชมได้อย่างราบรื่นมากพอโดยยังคงมีการกระตุก หรือต้องรอชมวิดีโออยู่ จากข้อมูลของ Prosper Mobile Insights 35.1% ของผู้หญิง และ 24.4% ของผู้ชายประสบปัญหาการรับชมวิดีโอผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
และเพื่อเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดเหล่านั้นผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตบางส่วนจึงตัดสินใจที่จะชมวิดีโอก็ต่อเมื่อพวกเขาเชื่อมต่อ Wifi เท่านั้น จากข้อมูลของ Rhythm NewMedia 61% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนเผยว่าพวกเขาชมวิดีโอต่างเมื่อเชื่อมต่อ Wifi และ 82% ของผู้ใช้งานแท็บเล็ตก็เช่นกัน
ฉะนั้นสิ่งที่นักการตลาดควรทำก็คือควรเลือกนำเสนอเนื้อหาประเภท Video Ad ก็ต่อเมื่อผู้ใช้งานคนนั้นๆ เชื่อมต่อ Wifi เท่านั้น เช่นเดียวกัน Video Ad ของ Facebook ที่จะปรากฏก็ต่อเมื่อผู้ใช้งานเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wifi เท่านั้น แม้การจำกัดให้เนื้อหา Video Ad เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wifi จะทำให้มีจำนวนผู้ชมเนื้อหาลดลง แต่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเป็นสื่อที่น่ารำคาญในสายตของพวกเขา
ที่มา : eMarketer
ภาพ : somobile