จากที่มีการสำรวจโดย Visa ในหัวข้อ Sweaty Money เกี่ยวกับกลุ่มผู้ที่รักการออกกำลังกายที่พบว่า 71 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามมักจะนำเครื่องมือที่สามารถชำระค่าสินค้าและบริการได้ติดตัวไปด้วยขณะออกกำลังกายเสมอ ๆ เช่น 56% พกบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต 40% พกเงินสด 27% พกสมาร์ทโฟน และ 7% ใส่นาฬิกาอัจฉริยะที่รองรับการจ่ายเงินได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยอมรับว่าการออกกำลังหลาย ๆ ประเภทนั้น ก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้เราพกสิ่งของเหล่านี้ติดตัวได้ง่ายนัก
ยกตัวอย่างเช่น การออกกำลังกายในฤดูหนาว โดยความเห็นจากกลุ่มที่ไม่ได้พกเงินหรือบัตรเครดิต หรือสมาร์ทโฟน ฯลฯ ไปด้วยขณะออกกำลังกายนั้นก็ให้เหตุผลว่าเพราะกลัวหาย บ้างก็บอกว่าไม่มีที่จะเก็บที่ดีพอ แต่การสำรวจของ Visa พบว่า ในคนกลุ่มนี้มีถึง 49% ที่เคยรู้สึกอยากซื้อสินค้าหรือบริการบางอย่างทันทีหลังจากออกกำลังกายเสร็จ แต่ไม่สามารถซื้อได้ เพราะไม่ได้พกเงิน หรือเครื่องมือใด ๆ มาเลย
นั่นจึงนำมาสู่การพัฒนาโปรดักซ์ทางการเงินโดย Visa ในฐานะพาร์ทเนอร์ระดับเอ็กซ์คลูซีฟด้าน Payment Technology ของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว และพาราลิมปิกได้เปิดตัวอุปกรณ์ Wearable ออกมา 3 ชนิดที่ช่วยให้นักกีฬา หรือผู้ที่มาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพสามารถจ่ายเงินได้ผ่านอุปกรณ์เหล่านั้น ประกอบด้วย ถุงมือ สติ๊กเกอร์ และพิน
โดยทั้งหมดนั้นรองรับเทคโนโลยีการชำระเงินแบบ NFC ที่เพียงยื่นเข้าไปใกล้ ๆ อุปกรณ์ NFC ของทางร้านค้าก็สามารถชำระเงินได้
Visa เผยว่ามีงานวิจัยรองรับว่า 60% ของนักกีฬาสนใจซื้ออุปกรณ์ Wearable เหล่านี้ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถออกกำลังกายได้พร้อม ๆ กับการจ่ายเงิน แต่อาจมีหลายคนสงสัยว่าทำไมต้องทำเป็นพิน ในจุดนี้ Visa บอกว่า ที่ผ่านมา มหกรรมโอลิมปิกมีการทำ Pin ชนิดพิเศษ เพื่อให้เก็บสะสมอยู่แล้ว ซึ่ง Pin ของ Visa ในครั้งนี้ก็จะเป็น Pin ที่ระลึกของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก PyeongChang 2018 ไปด้วยในตัวโดยมีเงินมาให้ในพินราว 5,000 วอน หรือประมาณ 150 บาท
ในส่วนของถุงมือก็เป็นถุงมือที่รองรับการจ่ายเงินผ่าน NFC ทำให้สามารถจ่ายเงินได้โดยไม่ต้องถอดถุงมือออกอีกต่อไป (อุณหภูมิในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ -4 องศาเซลเซียส) และสุดท้ายเป็นสติ๊กเกอร์ที่ Visa บอกว่ามันสามารถนำไปติดกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก โดยอุปกรณ์ทั้งหมดคาดว่าจะตอบโจทย์นักกีฬาและผู้คนที่ซื้อตั๋วเข้าชมมหกรรมในครั้งนี้ได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
ทั้งนี้ Visa ระบุว่าได้เริ่มวางจำหน่ายมาแล้วตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเงินพลาสติกก้าวไปสู่เงินดิจิทัลกันมากขึ้นด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : BusinessWire, Visa, MobileMarketer