ไหนใครบอกว่าสิ่งพิมพ์กำลังจะตาย? อย่างน้อยก็ไม่ใช่นิตยสารแฟชั่นระดับโลกอย่าง Vogue เพราะ Vogue สหรัฐฯ สามารถขายโฆษณาสำหรับเล่มเดือนกันยายนปีนี้ได้กระฉูด จนทำให้ Vogue ฉบับเดือน 9 นี้จะเป็นฉบับที่มีเล่มหนาที่สุดอันดับ 2 นับตั้งแต่ที่ Vogue เคยตีพิมพ์มา
ข่าวคราวของนิตยสารแฟชันอายุ 121 ปีอย่าง Vogue เรียกความสนใจในโลกการตลาดดิจิตอลได้มากทีเดียว เพราะสิ่งที่ Vogue เป็นในวันนี้พิสูจน์ว่าอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ยังมีชีวิตและยังขยายตัวได้จริง โดย Vogue สหรัฐฯประกาศว่าสามารถขายโฆษณาสำหรับเล่มกันยายนได้มากถึง 665 หน้า ทำสถิติเป็นอันดับ 2 รองจาก 727 หน้าที่เคยทำได้ในเล่มเดือนกันยายนปี 2007
Vogue เป็นนิตยสารความงาม แฟชัน และความหรูหราที่ตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก เล่มสำหรับสหรัฐฯนั้นมีบรรณาธิการเป็น Anna Wintour (ในภาพบน) ซึ่งมีอายุมากกว่า 63 ปีแล้วในขณะนี้ โดยแม้ Vogue จะทำสถิติมียอดโฆษณาเข้ามากที่สุดในเล่มกันยายนปี 2007 ที่ 727 หน้าโฆษณา (ภาพล่าง) แต่ Vogue ก็เคยแตะระดับตกต่ำที่สุดในเล่มเดือนกันยายนปี 2009 ซึ่งเป็นเล่มที่มีโฆษณา 447 หน้าเท่านั้น ก่อนจะขยับตัวเพิ่มขึ้นได้สำเร็จในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
ทั้งหมดนี้ Conde Nast บริษัทแม่ของ Vogue แถลงด้วยความภูมิใจว่า Vogue เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายนตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยอัตราหน้าโฆษณาของนิตยสารในเครือ Conde Nast นั้นเติบโตเฉลี่ย 5% แถมนิตยสารมากกว่า 13 หัวนั้นมียอดโฆษณาเข้ามากกว่าสถิติที่เคยทำไว้ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งนิตยสารที่โดดเด่นที่สุดใน 13 หัวนั้นคือ Bon Appétit ซึ่งสามารถขายโฆษณามากกว่า 91 หน้า คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 49% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
นิตยสารอย่าง Glamour ยังมียอดโฆษณาเพิ่มขึ้นมากกว่า 18% คิดเป็นโฆษณา 224 หน้า ขณะที่ W มีสัดส่วนหน้าโฆษณาเพิ่มขึ้น 17% เป็น 288 หน้า รวมถึง Teen Vogue ที่มีหน้าโฆษณาเพิ่มขึ้น 12% เป็น 162 หน้า พร้อมกับนิตยสารไลฟ์สไตล์หญิงชายอย่าง Cosmopolitan, Elle, Esquire และ Marie Claire ที่มีอัตราเติบโตหน้าโฆษณาเป็นเลข 2 หลักทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าโฆษณาจะกระจุกตัวอยู่ที่นิตยสารไลฟ์สไตล์ไฮเอนด์เท่านั้น เพราะในอุตสาหกรรมนิตยสารข่าวนั้นมีสัดส่วนโฆษณาลดลง 18% ตลอดช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เช่นนิตยสาร The Economist และ The Week ที่มีสัดส่วนการลงโฆษณาลดลง 24% และ 23% ตามลำดับ รวมถึงนิตยสารคอนซูเมอร์อย่าง Collectively ที่มีหน้าโฆษณาน้อยลง 4.9% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2013
ที่มา: Mashable