มีการเปิดเผยผลวิจัยของ YuMe ร่วมกับพาร์ทเนอร์ด้านดิจิทัลเอเจนซีเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยี Virtual Reality มาใช้ในเกมเพื่อโฆษณาแบรนด์ พบว่าในภาพรวมแล้ว การใช้ VR เพื่อการโฆษณาสามารถช่วยในการจดจำแบรนด์สูงมากถึง 70%
โดยรายละเอียดของการวิจัยดังกล่าวเริ่มจากค่าย YuMe ได้จับมือกับดิจิทัลเอเจนซีอย่าง Isobar, RLTY CHK สตูดิโอยักษ์ใหญ่ด้าน Immersive Entertainment และ RetinadVR แพลตฟอร์ม Analytics สำหรับ Immersive Media ทำการศึกษาเรื่องการใช้ VR ในการโฆษณา โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 54 ราย (จากซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา) ซึ่งผู้เข้าร่วมจะต้องเล่นเกม VR ชื่อ Kiss or Kill ที่สร้างโดย RLTY CHK ซึ่งภายในจะมีโฆษณาแทรกมาใน 3 รูปแบบได้แก่ โลโก้ของแบรนด์แทรกอยู่ภายในเกม, โปรดักซ์จากแบรนด์ในรูปแบบสามมิติแทรกอยู่ในระหว่างการเล่นเกม และวิดีโอ โดยมีทาง Isobar คอยมอนิเตอร์ผู้ร่วมทดสอบตลอดการเล่นเกม
จากนั้นในอีก 24 ชั่วโมงให้หลังเมื่อเกมจบลง ผู้ร่วมทดสอบจะถูกสอบถามว่าจดจำเกี่ยวกับแบรนด์ได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงทัศนคติของผู้บริโภคเกี่ยวกับโฆษณา VR แต่ละประเภทที่แทรกอยู่ภายในเกมด้วย โดยมี RetinadVR เป็นผู้วิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนจะเผยโฉมเป็นงานวิจัยในหัวข้อนี้
โดยข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า 74% ของผู้ร่วมทดสอบมอง Virtual Ad น่ารำคาญน้อยกว่าโฆษณาในแบบทั่วไป และ 69% บอกว่าโฆษณาเหล่านั้นผสานอยู่ในเกมได้อย่างดี
ส่วนในโฆษณาทั้ง 3 ประเภทที่แทรกลงในเกมนั้น พบว่า วิดีโอ Pre-roll มีประสิทธิภาพมากที่สุด รองลงมาคือ Logo และสุดท้ายคือการนำเสนอภาพสินค้าแบบ 3D มากไปกว่านั้นคือการพบว่า เกมที่รองรับผู้เล่นมากกว่าหนึ่งคน จะทำให้ผู้เล่นมีอารมณ์ร่วมกับเกมมากขึ้น และมีผลต่อการจดจำแบรนด์ที่มากขึ้นด้วยเมื่อเทียบกับเกมแบบ 2D
ด้าน Nick Robinson ซีอีโอของ RLTY CHK ผู้พัฒนาเกม VR เผยว่า เทคโนโลยี VR นอกจากจะช่วยให้นักการตลาดและนักพัฒนาได้มองเห็นอีกรูปแบบหนึ่งของการสร้างประสบการณ์ผ่านทางเกม VR แล้ว การพัฒนาเกม VR ที่มีการวางโฆษณาลงในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างมีชั้นเชิงนี้ ยังถือเป็นโฆษณาที่ Win-Win ทุกฝ่ายด้วย